“ดอนหมู” หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงพึ่งพาตนเอง
อยู่ดีกินดีได้ด้วยป่าชุมชน ธนาคารปุ๋ยหมัก
การทำการเกษตรสมัยใหม่ที่เน้นการใช้ปุ๋ย ยา และสารเคมี ได้ส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อผู้ผลิตและผู้บริโภค ทั้งในด้านของสุขภาพสังคม และสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญเกษตรกรยังต้องซื้อหาปัจจัยการผลิตเหล่านี้ในราคาแพง ทำให้เกิดปัญหาภาระหนี้สินสะสม เป็นวัฏจักรที่นำพาให้เกษตรกรซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของชาติเดินหน้าไปสู่ความล่มสลาย
ชาวบ้านดอนหมู ต.ขามเปี้ยอ.ตระการพืชพล จ.อุบลราชธานี ได้ตระหนักถึงปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น จึงร่วมกันหาทางออกโดยปรับเปลี่ยนแนวคิดในการดำรงชีวิต หันมายึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง และเปลี่ยนรูปแบบการทำนา ซึ่งเป็นอาชีพหลักของชุมชน หันไปทำเกษตรกรรมพึ่งพาธรรมชาติ ลด ละ เลิกการใช้สารเคมี
“โครงการหมู่บ้านสร้างเสริมสุขภาพ ตามแนวพระราชดำรัสเศรษฐกิจพอเพียง” จึงถือกำเนิดขึ้นมาจากความร่วมแรงร่วมใจของชาวบ้าน โดยน้อมนำแนวคิดในเรื่องของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับ และประยุกต์ใช้ในการดำรงชีวิตและประกอบอาชีพ โดยมีเป้าหมายเพื่อที่จะพัฒนาไปสู่การเป็นหมู่บ้านพึ่งพาตนเอง ลด ละ เลิกอบายมุข สร้างเสริมสุขภาวะให้เกิดขึ้น ในชุมชน โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
นายธีรชาติ ปลาทอง หัวหน้าโครงการฯ และประธานกลุ่มโรงเรียนชาวนาบ้านดอนหมู กล่าวว่า โครงการนี้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในหมู่บ้าน ชาวบ้านหลายคนเลิกใช้ปุ๋ยเคมี หันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในการทำนา และปลูกพืชผักต่างๆมีการตั้งศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงขึ้นในชุมชน ซึ่งปัจจุบันได้มีการขยายผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยกิจกรรมหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการขยายผลแนวคิดการพึ่งพาตนเองของชาวบ้าน ก็คือ “ธนาคารปุ๋ยหมักชีวภาพต้านปุ๋ยเคมี” และการร่วมกันดูแลรักษา “ป่าดอน ใหญ่” ซึ่งเป็นป่าชุมชนที่มีเนื้อที่กว่า 600 ไร่
“ป่าผืนนี้เป็นป่าที่ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันอนุรักษ์ให้คงอยู่ และมีความอุดมสมบูรณ์มาก มีพื้นที่รวมกันมากกว่า600 ไร่ ทำให้เรามีอาหารหลากหลายสามารถหาได้ตามฤดูกาล บางคนแทบจะไม่ต้องซื้ออาหารจากตลาด เลยป่าชุมชนจึงเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตที่ทำให้คนในชุมชนมีอาหารที่หลากหลาย และเป็นอาหารที่ปลอดภัยจากสารเคมีส่วนธนาคารปุ๋ยหมักชีวภาพต้านปุ๋ยเคมี ชาวบ้านทุกคนจะร่วมกันทำปุ๋ยหมักเมื่อหลังจากฤดูกาลเก็บเกี่ยวเพื่อเก็บไว้ใช้ในฤดูกาลต่อไป ทำให้ลดค่า
ใช้จ่ายในการผลิตลงได้ ซึ่งธนาคารปุ๋ยหมักชีวภาพเป็นการบ่งบอกให้คนในชุมชนรู้และตระหนักถึงการต่อต้านการใช้ปุ๋ยเคมี โดยเรามีเป้าหมายว่าในวันข้างหน้าเราจะไม่ให้มีปุ๋ยเคมีแม้แต่เม็ดเดียวในชุมชนของเรา”นายธีรชาติ กล่าว
นายจันทร์แดง โครรัตน์ ที่ปรึกษาโครงการฯ และประธานป่าชุมชนป่าดอนใหญ่ เล่าว่า ป่าแห่งนี้เกิดจากความร่วมแรงร่วมใจของชาวบ้านที่ร่วมกันอนุรักษ์จากผืนป่าที่เหลือเพียง 100 ไร่ ในปี 2528 จนกลับกลายมาเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ถึง 620 ไร่ในปัจจุบัน ป่าผืนนี้จึงเปรียบเสมือนเป็นตลาดสดของชาวบ้าน ในแต่ละฤดูกาลจะมีอาหารมากมายในป่าทั้งแมลง หน่อไม้ เห็ดนานาชนิด รวมไปถึงเห็ดที่มีราคาแพงอย่าง “เห็ดโคน”ก็มีเป็นจำนวนมาก ซึ่งสร้างรายได้กับชาวบ้านในช่วงฤดูที่เห็ดออกได้เป็น
อย่างดี นอกจากนี้ มีลำห้วยไหลผ่านซึ่งจะมีกุ้งหอยปูปลาให้จับได้ตลอดทั้งปีรวมถึงเป็นแหล่งยาสมุนไพรพื้นบ้านที่หลายหน่วยงานเข้ามาใช้เป็นแหล่งเรียนรู้และทำการวิจัย
“ป่าแห่งนี้เป็นตัวอย่างของการอยู่ร่วมกันกับป่าอย่างยั่งยืน มีกฎระเบียบในการใช้ประโยชน์จากผืนป่าแห่งนี้ที่ทุกคนยอมรับ เพราะทุกคนรู้และตระหนักว่าป่าไม้ถือเป็นหัวใจของชุมชน ทุกวันนี้เด็กๆ ทุกคนในชุมชนรู้จักกฎระเบียบของการใช้ป่าชุมชน ทุกคนต้องช่วยกันดูแลป่าใครอยู่ใกล้ป่าต้องคอยดูแลเฝ้าระวังเรื่องไฟไหม้หรือการลักลอบตัดไม้”ประธานป่าชุมชน ระบุ
ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ
update: 24-12-52
อัพเดทเนื้อหาโดย: ภราดร เดชสาร