ช็อกโกแลตซีสต์คืออะไร? โรคฮิตในผู้หญิง หลายคนเป็นแต่ไม่รู้ตัว

ที่มา: นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา
1. ช็อกโกแลตซีสต์คืออะไร? ทำไมเรียกแบบนี้
                    เวลาพูดคำว่า “ช็อกโกแลตซีสต์” หลายคนอาจขำ ๆ คิดว่าเป็นโรคที่เกี่ยวกับของหวาน แต่จริง ๆ แล้วมันคือโรคที่เจอบ่อยในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ โดยเฉพาะช่วงอายุ 20–40 ปี
ชื่อจริง ๆ ทางหมอเรียกว่า Ovarian Endometrioma หรือ “ถุงน้ำในรังไข่จากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่” ฟังดูยาวและซับซ้อน
แต่เอาแบบง่าย ๆ คือ ปกติ เยื่อบุโพรงมดลูก ต้องอยู่เฉพาะในโพรงมดลูก เพื่อรอรับการฝังตัวของตัวอ่อน
แต่ในบางคน เยื่อบุนี้ดันไปอยู่ผิดที่ เช่น ไปเกาะบนรังไข่ ทีนี้เวลามีประจำเดือน มันก็ยังมีเลือดออกตามรอบเดือนเหมือนเดิม แต่เลือดพวกนี้ออกมาไม่ได้ เลยค้างสะสมจนกลายเป็น “ถุงน้ำ”
แล้วทำไมต้องเรียกว่า “ช็อกโกแลต”? เพราะเลือดที่ค้างอยู่นาน ๆ จะกลายเป็นของเหลวสีน้ำตาลเข้มข้น คล้ายช็อกโกแลตละลาย เวลาผ่าตัดออกมาเห็นแล้วเหมือนมาก จนหมอเรียกกันติดปากว่า “ช็อกโกแลตซีสต์” นั่นเอง
ปัญหาคือมันไม่ใช่ถุงน้ำธรรมดาที่ปล่อยไปเฉย ๆ ได้ ถ้าถุงน้ำโตขึ้นมาก ๆ จะไปเบียดรังไข่ ก่อให้เกิดพังผืด และอาจทำให้มีบุตรยากในอนาคต
2. เกิดจากอะไร ใครบ้างที่เสี่ยง
                    หลายคนงงว่า “ทำไมเราถึงเป็น แต่เพื่อนเราไม่เป็น?” ความจริงวงการแพทย์ก็ยังหาคำตอบที่แน่ชัดไม่ได้ แต่มีทฤษฎีที่อธิบายได้ดีที่สุดคือ Retrograde Menstruation หรือ “ประจำเดือนย้อนกลับ” คือเวลาเป็นเมนส์ เลือดประจำเดือนบางส่วนไม่ได้ไหลออกมาหมด แต่ไหลย้อนเข้าไปในอุ้งเชิงกราน เซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกที่มากับเลือดนั้นไปเกาะตามอวัยวะ
เช่น รังไข่ แล้วดันยังทำงานตามฮอร์โมนเหมือนเดิม → ทุกเดือนก็ยังบวม หนาตัว และมีเลือดออก แต่พอไม่มีทางออก มันเลยกลายเป็นถุงน้ำในที่สุด
ใครบ้างที่เสี่ยงมากกว่าคนอื่น?
                    – ผู้หญิงที่มีเมนส์ตั้งแต่อายุน้อย
                    – รอบเดือนมาถี่ เช่น ทุก 21 วัน
                    – ประจำเดือนมามาก มานาน
                    – ยังไม่เคยตั้งครรภ์
                    – มีญาติพี่น้องผู้หญิงที่เคยเป็นโรคนี้
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่อาจเกี่ยว เช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่สูงเกินไป หรือภูมิคุ้มกันทำงานไม่สมดุล
แต่ก็ไม่ได้แปลว่าถ้าเข้าเกณฑ์เหล่านี้จะต้องเป็นแน่นอน เพียงแค่ “เสี่ยงกว่า” เลยควรใส่ใจอาการตัวเองให้มากขึ้น
3. อาการที่ควรระวัง
อาการที่เจอบ่อยที่สุดคือ ปวดท้องประจำเดือนรุนแรงผิดปกติ หลายคนคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่จริง ๆ ถ้าปวดมากจนกระทบชีวิตประจำวัน ถือว่าไม่ปกติแล้ว
สัญญาณที่น่าสงสัย ได้แก่
                    – ปวดท้องเมนส์มากขึ้นเรื่อย ๆ ยาแก้ปวดเอาไม่อยู่
                    – ปวดท้องน้อยเรื้อรัง แม้ไม่มีประจำเดือน
                    – เจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะเวลาสอดใส่ลึก ๆ
                    – มีบุตรยาก เพราะรังไข่ทำงานผิดปกติ
                    – บางรายคลำเจอก้อนที่ท้องน้อย
สิ่งที่น่ากลัวคือ ผู้หญิงหลายคน “ชิน” กับการปวด จนคิดว่าเป็นเรื่องปกติ ปวดทุกเดือนก็ทน
กินยาลดปวดเอา แต่จริง ๆ มันอาจเป็นสัญญาณของช็อกโกแลตซีสต์ และถ้าปล่อยนาน ๆ อาจส่งผลต่อการมีลูกในอนาคตได้
4. การตรวจและการวินิจฉัย
วิธีตรวจชัดเจน เริ่มจากถามอาการประจำเดือน ความรุนแรง ความถี่
                    – จากนั้นจะทำ อัลตราซาวด์ทางช่องคลอด ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานที่แม่นยำ เห็นได้ว่ามีถุงน้ำหรือไม่
ถุงน้ำธรรมดาจะใส ๆ แต่ถ้าเป็นช็อกโกแลตซีสต์ จะเห็นเป็นถุงน้ำที่ขุ่น ข้างในดูเหมือนมีเลือดเก่า ๆ ติดอยู่
                    – บางเคสที่ซับซ้อน อาจต้องทำ MRI เพื่อดูละเอียดขึ้น โดยเฉพาะถ้ามีก้อนใหญ่ หรือสงสัยว่าไปเกาะอวัยวะอื่นด้วย
                    – ส่วนวิธีที่ยืนยันชัวร์ที่สุดคือ ผ่าตัดส่องกล้อง (Laparoscopy) หมอจะสอดกล้องเล็ก ๆ เข้าไปในช่องท้อง มองเห็นรังไข่โดยตรง แล้วสามารถตัดก้อนออกได้เลย
ที่อยากบอกคือ การตรวจพวกนี้ไม่ได้เจ็บหรืออันตรายอย่างที่หลายคนกลัว และยิ่งมาตรวจเร็ว ยิ่งมีทางเลือกการรักษาที่ง่ายและได้ผลดีกว่า
5. การรักษาและดูแลระยะยาว
การรักษามีหลายทาง เลือกตามอายุ ขนาดก้อน และแผนชีวิตของแต่ละคน เช่น ยังอยากมีลูกไหม ก้อนใหญ่แค่ไหน
การใช้ยาและฮอร์โมน
                    – ใช้ยาคุมกำเนิด หรือยาฮอร์โมนอื่น ๆ เพื่อกดไม่ให้เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญ
                    – เหมาะกับก้อนเล็ก หรือคนที่ยังไม่พร้อมผ่าตัด
การผ่าตัดส่องกล้อง
                    – เหมาะกับก้อนใหญ่กว่า 4–5 ซม. หรือมีอาการรุนแรง
                    – หมอจะตัดก้อนออกและเอาพังผืดออก ช่วยลดปวดและเพิ่มโอกาสมีลูก
                    – แต่ก็มีความเสี่ยง เช่น รังไข่อาจทำงานลดลงเล็กน้อยหลังผ่า
การรักษาภาวะมีบุตรยาก
                    – บางคนต้องใช้ IVF (เด็กหลอดแก้ว) ร่วมด้วย เพื่อช่วยให้มีลูก
การดูแลตัวเองหลังรักษา
                    – ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อช่วยปรับฮอร์โมน
                    – ลดอาหารที่ก่อการอักเสบ เช่น ของทอด ของหวานจัด
                    – เพิ่มอาหารที่ช่วยลดการอักเสบ เช่น ปลาแซลมอน ปลาทะเลน้ำลึก ถั่ว วอลนัท เมล็ดแฟลกซ์
เพราะมี โอเมก้า-3 (Omega-3) ซึ่งอาจช่วยลดการอักเสบในร่างกาย
และอาจช่วยบรรเทาอาการของเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ได้ หรือจะกินโอเมก้า 3 ก็ได้ แต่แนะนำลองปรึกษาหมอก่อนนะ
                    – พบหมอตามนัด เพราะโรคนี้กลับมาเป็นซ้ำได้
สิ่งที่อยากฝากคือ ถ้าตรวจเจอไม่ต้องกลัวนะ มันรักษาได้ ควบคุมได้ เพียงแค่ต้อง “ไม่ปล่อยผ่าน” และใส่ใจสัญญาณผิดปกติของร่างกาย
Shares:
QR Code :
QR Code