“ชุมชนล้อมรักษ์” ปลุกพลังอำเภอ ขจัดยาเสพติด
ที่มา: เวทีประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาศักยภาพพลังอำเภอสู่การเป็นอำเภอต้นแบบและอำเภอขยายผล ในการขับเคลื่อนชุมชนล้อมรักษ์ (CBTx) และแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน

“ปัญหายาเสพติดดรอปลง เพราะข่าวสแกมเมอร์ พนันออนไลน์เข้ามากลบ ทั้งที่จริง ๆ ยาเสพติด มีผลกระทบต่อประเทศเป็นวงกว้าง เริ่มจากครอบครัว ชุมชน และสังคม เห็นได้จาก 1 คนติดยาเสพติด เดือดร้อนทั้งหมู่บ้าน ทั้งความปลอดภัยในชุมชน และเศรษฐกิจ ผิดกับสแกมเมอร์ที่ถูกหลอกก็แค่ครอบครัวตัวเองเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ”

นี่เป็นถ้อยคำของ นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวบนเวทีประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาศักยภาพพลังอำเภอสู่การเป็นอำเภอต้นแบบและอำเภอขยายผล ในการขับเคลื่อนชุมชนล้อมรักษ์ (CBTx) และแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน
กระบวนการแก้ไขปัญหายาเสพติด ต้องเริ่มจาก “ใจต้องใหญ่” “มีแนวร่วม” และสิ่งสำคัญ “ข้อมูลหรือสมมติฐานต้องชัด” การสแกนค้นหาผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะที่ผ่านมาต้องเผชิญกับ “ข้อมูลทิพย์” ทำให้การประเมินวิธีการแก้ไขปัญหาผิดพลาด ขณะนี้กำลังให้ทุกจังหวัดสแกนหาผู้เกี่ยวข้องยาเสพติดว่าจริง ๆ มีเท่าไหร่

จากการค้นหาผู้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด 6 อำเภอ จ.บุรีรัมย์ จำนวน 38,000 คน พบว่ามีคนเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด 3,000 คน ได้รับการบำบัด 2,000 คน และได้คนกลับคืนสังคม 1,600 คน และเมื่อแบ่งกลุ่มคนที่เข้าไปเกี่ยวข้องยาเสพติด ออกเป็นกลุ่มสี ทั้งเขียว เหลือง และขาว ยุทธศาสตร์สำคัญ ในการป้องกันไม่ให้คนสีขาวที่ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดกลายเป็นคนเสพ หรือกลุ่มสีเขียว จุดนี้ต้องล้อมรักษ์ สร้างภูมิคุ้มกันความรัก ทำให้เกิดหิริโอตัปปะ หรือความละอายต่อบาป เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันให้กับชุมชน พร้อมดึงทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น ผู้นำชุมชนภาคศาสนา ภาคประชาชน เข้ามาแก้ไขปัญหา
“ต้องทำอย่างไรให้ ประชาชน เกิดแรงบันดาลใจเป็นแนวร่วมแก้ไขปัญหายาเสพติดให้ได้ โดยเข้าใจว่าลำพังงบประมาณภาครัฐอาจไม่เพียงพอในการดูแลประเทศนี้ ต้องให้ประชาชนและหน่วยงานเกี่ยวข้องที่มีกำลัง เข้ามามีส่วนร่วม” นายโสภณ กล่าว

ด้าน นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า กระบวนการ CBTx ขับเคลื่อนการทำงานเชื่อมกลไกคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) และเครือข่ายชุมชนเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดโดยชุมชนเป็นฐาน ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญคือ 1. พัฒนาอำเภอให้เป็นต้นแบบดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดระดับพื้นที่ 2. พัฒนารูปแบบการขยายผลการดำเนินงานไปยังพื้นที่อื่น ๆ เพื่อนำไปสู่การสร้างเครือข่ายการบำบัดรักษาผู้ป่วย บำบัดฟื้นฟูในชุมชน 3. ค้นหารูปแบบการฟื้นฟูหรือบำบัดผู้ป่วยในชุมชน และเสริมสร้างศักยภาพบุคลากรและเครือข่ายในพื้นที่ให้สามารถใช้กระบวนการ CBTx ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ 4. พัฒนากลไกการสื่อสารและขับเคลื่อนงานไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อให้แนวทางการบำบัดรักษาผู้ป่วยยาเสพติดในชุมชนเป็นมาตรฐานเดียวกัน
จากการดำเนินงานขับเคลื่อนงานป้องกันยาเสพติดมาตั้งแต่ปี 2558 ปัจจุบันมีพื้นที่ต้นแบบปลอดภัยจากยาเสพติด 29 พื้นที่ทั่วประเทศ มีเครือข่ายภาคประชาชนขับเคลื่อนงานสร้างพื้นที่ปลอดภัยป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด 12,942 คน ในพื้นที่ 4,022 หมู่บ้าน/ชุมชน มีแกนนำเครือข่ายที่เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง 282 คน
ขณะเดียวกันรูปแบบแก้ไขปัญหายาเสพติดก็สามารถทำได้หลายรูปแบบ ไม่จำกัดแค่ต้องเป็นภาครัฐอีกต่อไป โดยภาคประชาชนสามารถมีส่วนร่วม สนับสนุนงบประมาณ หรือจัดกิจกรรมเองได้ เช่น การจัดกิจกรรมวิ่งต้านยาเสพติดในชุมชน ปลุกจิตสำนึกให้คนตื่นตัว หรือการจัดทำผ้าป่าเพื่อสนับสนุนการบำบัดรักษายาเสพติดในพื้นที่
“เพราะปัญหายาเสพติดมีความหลากหลาย พลังชุมชนมีส่วนสำคัญในการแก้ไขบางคนติดยาเสพติดมากต้องอาศัยโรงพยาบาลบำบัดรักษา ติดน้อยหน่อยอาศัยกลไกชุมชนล้อมรักษ์ช่วยเหลือดูแลใช้ความรักล้อมเยียวยา โดยคนในชุมชนท้องถิ่นเป็นแรงผลักดันให้เลิกเสพ” นพ.พงศ์เทพ กล่าว

กระบวนการบำบัดรักษาของ “ชุมชนล้อมรักษ์” ใช้ความห่วงใยและปรารถนาดีของคนในชุมชนดึงคนเสพยาให้กลับไปอยู่ในจุดที่ยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง เหมือนเช่น นางสาวชวนพิศ เทศทอง อายุ 41 ปีหนึ่งในผู้เข้าร่วมชุมชนล้อมรักษ์ บ้านหนองโสน อ.เมืองเพชรบุรี จ.เพชรบุรี เธอถ่ายทอดเรื่องราวเมื่อครั้งเคยตกเป็นเหยื่อยาเสพติดมานานกว่า 15 ปี จุดเริ่มต้นมาจากเพื่อนชักชวน หากต้องการเงินเพิ่มให้ใช้ยาเสพติดช่วยเสริมแรงตอนเธอทำงานก่อสร้าง ทำให้ก่อนทำงานต้องเสพยาก่อนเสมอ สมัยก่อนยาบ้าเม็ด 50 บาท มีบางช่วงก็เม็ดละ 20 บาท แต่เดี๋ยวนี้ราคาถูกก็เลยทำให้มีคนติดยาเสพติดกันเยอะ
เมื่อถูกตำรวจจับกุมขณะเสพยา ภายในบ้านพักแบบคาหนังคาเขา เห็นน้ำตาของแม่และสายตาที่ห่วงใย จึงไม่อยากให้แม่ต้องผิดหวังในตัวเองซ้ำอีก จึงเริ่มคิดอยากพยายามเลิกเสพยา จนกระทั่งเข้าร่วมกับชุมชนล้อมรักษ์บ้านหนองโสน ได้รับกำลังใจเป็นแรงผลักดันพยายามเลิกยาเสพติดให้ได้
“อยากเลิก เพราะแม่ร้องไห้กับเรา เขาเป็นห่วงและยังต้องวิ่งวุ่นหาเงินมาประกันตัวให้อีก สงสารแม่จึงอยากเลิกและรับปากจะพยายามเลิก จนมาเข้าร่วมโครงการ ขณะนี้ยังใช้ยาอยู่แต่ลดจำนวนลงมากจากเดิมเสพวันละ 5 เม็ด เหลือ 3 วัน 2 เม็ดเท่านั้น หลังผ่านความพยายามเลิกมานาน 1ปี” นางสาวชวนพิศ กล่าว
นางสาวชวนพิศ ยังเล่าอีกว่า อยากให้เรื่องราวชีวิตของตัวเองเป็นแรงดันผลักให้เยาวชนที่เผลอหลงผิด กล้าตัดสินใจ ก้าวเข้ามาเลิกยาเสพติดด้วยตัวเอง เพียงแค่ลองบอกผู้ใหญ่บ้าน หรือ อสม.ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกจับกุม เพราะนับตั้งแต่ตนเองพยายามเลิกยาเสพติด ก็เริ่มมีสิ่งดี ๆ เข้ามาใช้ชีวิต สายตาการมองของคนในชุมชนเปลี่ยนไป ไม่ถูกหวาดระแวง พร้อมหยิบยื่นโอกาสเกิดการจ้างงาน ตอนนี้เป็นแม่บ้านทำความสะอาด จนเกิดคำพูดปากต่อปากการันตีว่า คนนี้ไม่มีนิสัยลักขโมย ซื่อสัตย์ และทุกคนก็ยิ้มให้
ด้าน นายอดิศร ล้อถิรธร ปลัดอำเภอกำแพงแสน จ.นครปฐม สะท้อนข้อมูลการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ว่า เริ่มจากทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าปัญหายาเสพติดเป็นภัยกับชุมชน เพราะหากปล่อยให้คนในชุมชนติดยาเสพติด หมายความว่า ชุมชนนั้นต้องอยู่ด้วยความหวาดระแวง เด็กเล็กไม่ปลอดภัย จากคนคลุ้มคลั่งเพราะการเสพยา ทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ไม่ปลอดภัย เพราะถูกลักวิ่ง ชิงปล้น ดังนั้น 15 ตำบล 16 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของ อ.กำแพงแสน จึงเห็นตรงกันและทำงานร่วมกันทั้งระดับตำบลและอำเภอ เพื่อแก้ไขยาเสพติด มีกลุ่มเป้าหมาย คือ วัยรุ่นที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด
“รูปแบบการนัดหมายเสพยาของวัยรุ่นเปลี่ยนไปจากเดิมซึ่งเคยนัดกันที่สถานบันเทิง ใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจล้อมเข้าตรวจค้นได้ง่าย แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นการเช่าบ้านพักแบบพูลวิลล่า ตามรอยต่อของอำเภอแทน อย่างพื้นที่กำแพงแสน จ.นครปฐม เชื่อมต่อ 3 จังหวัด คือ สุพรรณบุรี ราชบุรี และกาญจนบุรี ดังนั้น การตรวจค้นปราบปรามต้องอาศัยคนในพื้นที่ร่วมด้วย” นายอดิสร กล่าว

ถอนพิษยาเสพติด ด้วยภูมิความรัก กลไกธรรมชาติจากปรารถนาดี จากนั้นปลุกพลังใจให้เข้มแข็ง ช่วยให้คนหลงผิดเสพยา กลับมายืนอย่างมั่นคง เท่ากับตัดวงจรยาเสพติดออกให้ห่างไกล คือ กระบวนการสำคัญของชุมชนล้อมรักษ์ ที่ปลุกพลังชุมชนให้มีส่วนร่วมขจัดยาเสพติด


