ชาวอุดมศึกษาหนุนโมเดล “1 ม.1 จังหวัด”ปลุกสำนึกมหาวิทยาลัยดูแลชุมชน
เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ที่อิมแพคเมืองทองธานี มูลนิธิพัฒนาไท สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการเสริมสร้างความเข้มแข็งชุมชนแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) จัดเวทีระดมความเห็นเพื่อร่วมสร้างประเทศไทยน่าอยู่ โดยมีผู้บริหารจากมหาวิทยาของรัฐ มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ มหาวิทยาลัยราชภัฎ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล และมหาวิทยาลัยเอกชน เข้าร่วมกว่า 150 คน โดยได้มีเวทีระดมความเห็นของแต่ละมหาวิทยาลัยเพื่อเสนอต่อนายกรัฐมตรี
รศ.บุญสม ศิริบำรุงสุข อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวถึงข้อเสนอของมหาวิทยาลัยของรัฐว่า สิ่งที่มหาวิทยาลัยควรดำเนินการคือ จะต้องเป็นการศึกษาที่สูงไปจากเดิม นั่นคือการศึกษาที่พาคนออกจากความยากจน ลดความแตกต่างระหว่างเมืองกับชนบท มีพลังทางปัญญาในการช่วยแก้ไขปัญหา โดยบทบาทของมหาวิทยาลัยที่ควรดำเนินการคือ 1. การปรับมุมมองและทัศนคติในการบูรณาการงานของมหาวิทยาลัยให้เข้าสู่ชุมชน 2. บทบาทของมหาวิทยาลัยควรเรียนรู้ร่วมกับชุมชนเพื่อให้เกิดความยั่งยืน 3. การสร้างจิตสำนึกของบุคลากรในสถาบันให้มีส่วนดูแลชุมชน และร่วมสร้างความเป็นธรรมในสังคม 4. บทบาทของมหาวิทยาลัยต้องมีฐานข้อมูลของพื้นที่โดยเฉพาะข้อมูลด้านทุนทางสังคม 5. มหาวิทยาลัยต้องรู้ร้อนรู้หนาวร่วมกับสังคม 6. การทำวิจัยเชิงพื้นที่ต้องเป็นนโยบายของมหาวิทยาลัย 7. ควรมีศาสตร์ของการพัฒนาชุมชนเข้าสู่การเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยเพื่อให้มีชีวิตชีวา
รศ.บุญสม กล่าวว่า สำหรับการดำเนินงานจำเป็นต้องมีโครงสร้างภายในมหาวิทยาลัยเพื่อสนับสนุนการทำงานและมีการกำหนดพื้นที่ในการดูแลที่ชัดเจน รวมถึงการสนับสนุนโครงการบัณฑิตอาสาเพื่อให้นักศึกษาได้ลงพื้นที่สัมผัสกับชุมชน พร้อมกับมีการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีให้กับชุมชน รวมถึงการปรับหลักสูตรในมหาวิทยาลัย เช่น หลักสูตรภาคสนามให้นักศึกษาลงพื้นที่ และสร้างบัณฑิตตระหนักถึงปัญหาสาธารณะ นอกจากนี้ยังสนับสนุนแนวคิด 1 มหาวิทยาลัย 1 จังหวัด โดยจำเป็นต้องมีการสร้างความไว้วางใจของชุมชนเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการดำเนินงาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นพันธสัญญาระยะยาวของมหาวิทยาลัยที่มอบให้กับสังคมไทย ไม่ใช่แค่เพียงการมอบให้กับรัฐบาลหรือพรรคใดพรรคหนึ่ง
รศ.นพ.อำนาจ อยู่สุข รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนาคุณภาพนักศึกษาและกิจการพิเศษ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ในส่วนมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ เห็นว่า 1.สถาบันอุดมศึกษามีบทบาทในการหนุนเสริมชุมชนท้องถิ่นและประเทศ พร้อมทั้งกลไกระดับจังหวัด ได้โดยการสร้างจิตสำนึกร่วมของคนในมหาวิทยาลัยที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการสร้างชุมชนให้มีความสุข ปรับโครงสร้างองค์กรในระดับมหาวิทยาลัย ให้มีกลไกสนับสนุนชุมชน เช่น สถาบันวิทยาการชุมชนและพัฒนาจังหวัด เพื่อให้เกิดการดำเนินการอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน สร้างองค์ความรู้ชุมชนผ่านองค์ความรู้ชุมชนและการวิจัยชุมชน การสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน โดยชุมชนเป็นผู้ริเริ่มดำเนินการ จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อวางแผนและกำหนดแนวทางและวิธีการในการดำเนินโครงการหนึ่งจังหวัดหนึ่งมหาวิทยาลัย 2.วิธีการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตของชุมชนท้องถิ่น จังหวัดและประเทศนั้น สามารถดำเนินการโดยจัดให้มี โครงการ “หนึ่งจังหวัดหนึ่งมหาวิทยาลัย” เพื่อให้จังหวัดเป็นเจ้าภาพในการดำเนินการเชื่อมโยงกับหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่
“นอกจากนั้นควรนำประสบการณ์ของแต่ละมหาวิทยาลัยมาดำเนินการให้เหมาะสมกับปัญหาในแต่ละพื้นที่ อาทิ โครงการหนึ่งด๊อกเตอร์หนึ่งอำเภอ โครงการหนึ่งภาควิชาหนึ่งชุมชนเข้มแข็ง โครงการขับเคลื่อนจังหวัดสู่จังหวัดน่าอยู่ (คิดดีทำดี เพื่อจังหวัด) การบริการให้คำปรึกษาและถ่ายทอดความรู้ในรูปแบบต่างๆ ทั้งด้านวิชาการและเทคโนโลยี การจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้การดำเนินชีวิตอย่างสุขกายสุขใจของผู้สูงอายุในจังหวัด” รศ.นพ.อำนาจ กล่าว
รศ.ดร.ชวนี ทองโรจน์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต กล่าวว่า ในส่วนของมหาวิทยาลัยราชภัฏ(มรภ.) เห็นว่า มรภ.เป็นมหาวิทยาลัยเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น มีจุดเด่นในการมีพื้นที่ที่รับผิดชอบที่ชัดเจน และสามารถเชื่อมโยงกับท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด สำหรับการเชื่อมโยงพันธกิจเพื่อพัฒนาท้องถิ่นนั้น แบ่งเป็น 1.ด้านการเรียนการสอน มรภ. ใช้รากฐานจากสถาบันผลิตครู ช่วยพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น เพื่อสอนให้เข้าใจเรื่องประชาธิปไตย สิทธิ และหน้าที่ ตั้งแต่วัยเด็กใช้ชุมชนและท้องถิ่นเป็นฐานในการจัดการเรียนรู้ให้แก่นักศึกษา 2.ด้านการวิจัย ดำเนินการวิจัยเพื่อแก้ปัญหาของท้องถิ่นอย่างจริงจัง เช่น มรภ.อุตรดิตถ์ โมเดล นอกจากนั้นสามารถให้บริการวิชาการแก่สังคม โดยผนึกกำลัง สร้างเครือข่าย มรภ. ทั่วประเทศ จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ของชุมชนเพื่อเป็นที่พึ่งของประชาชน จัดทำฐานข้อมูลรวมระดับประเทศเพื่อใช้ประโยชน์ในการดำเนินการด้านต่างๆ อาทิ การท่องเที่ยว การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม การทำนุบำรุงศิลปวัฒธรรม เป็นต้น
“ข้อเสนอในส่วนของ มรภ. เห็นว่า ในการดำเนินการให้มหาวิทยาลัยเป็นหัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนการปฏิรูปในพื้นที่นั้น ควรมีการจัดสรรงบประมาณอย่างเป็นธรรม สนับสนุนด้านการสร้างบุคลากรโดยทุนวิจัย และทุนการศึกษาต่อปริญญาโท และเอก ควรนำปัญหาระดับโลกเข้ามาเป็นประเด็นในการสร้างความปรองดอง เช่น ความมั่นคงทางอาหาร ภาวะโลกร้อน และการเสริมสร้างการให้อภัยเพื่อสร้างสังคมให้น่าอยู๋” รศ.ดร.ชวนี กล่าว
ผศ.ยุทธนา หริรักษาพิทักษ์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ กล่าวถึงข้อเสนอของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลว่า บทบาทของมหาวิทยาลัยในการสนับสนุนท้องถิ่นและชุมชนคือ การให้โอกาสทางการศึกษาทั้งในระบบและนอกระบบแก่ชุมชน การสร้างรายได้ให้กับครัวเรือนในชุมชน การมีบทบาทเป็นที่ปรึกษาของชุมชนท้องถิ่นและจังหวัด การมีบทบาทในการติดต่อสื่อสาร ประสานงานและร่วมกิจกรรมแบบบูรณาการกับชุมชน ท้องถิ่น และจังหวัด การทำวิจัยตามที่ชุมชนต้องการและนำสู่การถ่ายทอดเทคโนโลยี ส่งเสริมให้บุคลากรและนักศึกษาร่วมกิจกรรมด้านศาสนาและศิลปวัฒนธรรมเพื่อให้เข้าใจถึงวิถีชุมชน
ผศ.ยุทธนา กล่าวว่า สำหรับแนวทางดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติคือ 1.การทำความเข้าใจด้านอาชีพที่มีอยู่ของชุมชน แล้วมอบให้นักศึกษาเสนอโครงการยกระดับอาชีพของชุมชนภายใต้การดูแลของอาจารย์ 2.การสร้างความยอมรับของชุมชนเพื่อให้เข้าร่วมกับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีการติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง 3. ยกระดับสถานศึกษาในแต่ละจังหวัดให้มีคุณภาพเท่าเทียมกัน 4. จัดตั้งศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านอาชีพ (call center) เพื่อให้ชุมชนเข้าถึงมหาวิทยาลัยได้สะดวก และรวดเร็ว และ 5. ส่งเสริมมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน
ดร.มันทนา สานติวัตร อธิการบดีมหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล่าวถึงข้อเสนอของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนว่า บทบาทหลักของสถาบันอุดมศึกษาควรประกอบด้วย 1. เป็นแหล่งวิจัยและสะสมองค์ความรู้ในด้านพฤติกรรมและผลกระทบด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองระดับชาติ 2. มีนักวิชาการและองค์ความรู้ที่สามารถสนองต่อนโยบายแห่งรัฐและติดตามประเมินผลความสำเร็จของนโยบายอย่างยั่งยืน 3. มีเครือข่ายของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนที่สามารรถระดมกำลังจากนักวิชาการเพื่อทำวิจัยและให้บริการชุมชนทั้งระดับพื้นที่และประเด็นสำคัญ และ 4 การพัฒนาบทบาทของนักศึกษาต่อการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อชุมชน สังคม และประเทศ
ดร.มันทนา กล่าวว่า สำหรับข้อเสนอคือ การปรับทัศนคติของคนไทยและหน่วยงานภาครัฐที่มีต่อสถาบันอุดมศึกษาเอกชนที่มองว่าสถาบันการศึกษาเอกชนทำเพื่อกำไร ทำให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนค่อนข้างยาก โดยเฉพาะการอุดหนุนจากหน่วยงานภาครัฐ และ 2. การแก้ไขความเหลื่อมล้ำในการได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ โดยการปรับปรุงพรบ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 เพื่อให้มีการสนับสนุนงบประมาณลงถึงมหาวิทยาลัยเอกชนได้โดยตรง
ที่มา:สำนักข่าว สสส.
Update:3-08-53
อัพเดทเนื้อหาโดย :คีตฌาณ์ ลอยเลิศ