ชาร์จพลังกาย-ใจ ที่ 4 จ.ภาคอีสาน

เที่ยวไทยครึกครื้น เศรษฐกิจไทยคึกคัก

  

          ขึ้นเหนือ ล่องใต้ และท่องเที่ยวภาคกลางกันไปแล้ว ก็พลาดไม่ได้ที่จะแวะไปม่วนซื่นโฮแซวที่ถิ่นแคว้นแดนอีสานกันต่อ วันนี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เลยนำสถานที่ท่องเที่ยวน่าไปมาแนะนำกันอีกเช่นเคยค่ะ

 

          เริ่มต้นชาร์จพลังกันที่จังหวัดชัยภูมิ เมืองคนกล้า เวลา 07.00 น. ด้วยการหยิบหมอก หยอกกระเจียว ที่อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ที่เต็มไปด้วยดอกไม้จากสรวงสวรรค์อย่างดอกกระเจียว ซึ่งเปรียบเสมือนราชินีแห่งมวลดอกไม้ของขุนเขาแห่งนี้ ที่ทุกคนตั้งใจมาดู มาชมความงามตระการตาของเจ้าดอกสีชมพูอมม่วงที่ดารดาษไปทั้งผืนป่า ตัดกับสีเขียวขจีของหญ้าเพ็กและโขดหิน ผสมกับไอหมอกและลมเย็นโชยมาเอื่อยๆ ประดุจเทพจากสรวงสวรรค์ประทานให้กับแผ่นดินที่นี่ เป็นทุ่งดอกกระเจียวที่ใหญ่ที่สุดและงดงามที่สุดในประเทศไทยก็ว่าได้

 

          ยลความงามพร้อมถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทางไปชมลานหินงาม ซึ่งเกิดจากการกัดเซาะเนื้อดิน ทำให้หินในส่วนที่จับตัวกันอย่างเบาบางหลุดออกไป นานวันเข้าจึงเกิดเป็นโขดหินที่มีรูปลักษณ์แตกต่างกัน ดูสวยงามเป็นที่อัศจรรย์…จากนั้นจึงออกเดินทางสู่จุดชมวิวสุดแผ่นดิน ที่เป็นหน้าผาสูงชัน และเป็นจุดที่สูงที่สุดของเทือกเขาพังเหยซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ซึ่งเกิดจากการยกตัวของพื้นที่เป็นที่ราบสูงอีสาน และเป็นรอยต่อระหว่างภาคกลางกับภาคอีสาน ทำให้บริเวณนี้ถูกเรียกว่า “สุดแผ่นดิน” ที่จุดชมวิวแห่งนี้ นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นวิวของสันเขาสลับซับซ้อนกันสวยงามมาก ปะทะกับสายลมที่พัดผ่านเย็นสบายตลอดวัน

 

             เก็บเกี่ยวความงามจากอุทยานแห่งชาติป่าหินงามแล้ว เวลา 13.00 น. ก็มุ่งหน้าสู่น้ำตกตาดโตน ซึ่งถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดชัยภูมิเลยทีเดียว เพราะที่น้ำตกแห่งนี้มีน้ำใสไหลเย็นให้ได้เล่นกันตลอดปี โดยเฉพาะด้านบนของน้ำตกที่เป็นธารน้ำไหลผ่านลานหิน สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่ให้ความร่มรื่น เหมาะที่จะนั่งพักผ่อนหย่อนใจ ธรรมชาติที่งดงาม หรือเล่นน้ำได้…

 

ชาร์จพลังกาย-ใจ ที่ 4 จ.ภาคอีสาน 

 

            เวลา 20.00 น. ก็ตรงไปยังเสาหินผู้ยิ่งใหญ่ที่ต้องคนไทยจะต้องยกนิ้วให้กับ มอหินขาว ที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็น สโตนเฮ้นจ์เมืองไทย ตั้งตระหง่านอยู่บนผาสูงเรียงรายบนสันเขาภูแลนคา กลุ่มเสาหินสูงใหญ่เหล่านี้ ล้วนก่อกำเนิดจากการยกตัวของเปลือกโลกผ่านวันเวลามานานนับสิบๆ ล้านปี ด้วยอิทธิพลของลมฝน อีกทั้งแสงแดด จนผุกร่อนมีรูปทรงแปลกตา

 

            ส่วนใครที่มีหัวใจโรแมนติก ก็คงชื่นชอบกับการได้มานอนนับดาวที่นี่ เพื่อจะได้สัมผัสกับพลังมหัศจรรย์บนฟากฟ้าที่ว่ามีดาวล้านดวงนั้นเป็นเรื่องจริง!!! เพราะยามราตรีของที่นี่ เมื่อเหล่าดวงดาวนับล้านดวงโคจรอยู่เหนือกลุ่มหินมหัศจรรย์เหล่านี้ เกล็ดเพชรของทางช้างเผือกเหนือฟากฟ้าก็จะระยิบระยับราวกับอยู่ใกล้แค่เอื้อม

 

           อิ่มเอมกับจังหวัดชัยภูมิแล้ว ก็มาต่อกันที่จังหวัดเลย เมืองท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่โอบล้อมด้วยภูเขา สลับซับซ้อนท่ามกลางสายหมอกปกคลุมเหนือยอดภู อุดมไปด้วยพืชพรรณป่าไม้นานาชนิดเวลา 07.00 น. พกพาหัวใจแห่งการรักการผจญภัยแล้วทะยานขึ้นสู่ที่สูงอย่างภูกระดึง ขุนเขามหัศจรรย์ที่ในฤดูหนาวจะมีอุณหภูมิที่เย็นเยียบ แต่ใครเล่าจะเชื่อว่า ในผืนป่าปิดด้านเหนือกลับเต็มไปด้วยเมเปิ้ลที่กำลังผลัดใบเป็นสีแดงฉาน จนเกิดการเล่าขานกันในหมู่นักท่องเที่ยวว่า เมืองไทยก็มีพันธุ์ไม้ชนิดนี้สวยงามไม่แพ้เมืองนอก และพร้อมใจกันเรียกบริเวณนี้ว่า เมเปิ้ลแดงในป่าปิดอันลึกลับ

 

            จากนั้น เวลา 10.00 น. มุ่งหน้าสู่ภูหลวง ที่ที่เต็มไปด้วยพืชพันธุ์นานาชนิด และดอกไม้ที่ออกดอกชูช่อประชันความงามให้ได้ชมกันในทุกฤดูกาล แต่ใครจะรู้บ้างว่า ในครั้งบรรพกาลเคยมีไดโนเสาร์อาศัยอยู่ ดังจะเห็นได้จากร่องรอยที่ปรากฏบนหน้าผา เป็นรอยจารึกที่มีอายุกว่า 120 ล้านปีที่ทำให้นักท่องเที่ยวตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมากเวลา 13.00 น. ลงจากภูหลวง ก็อย่าลืมเดินทางไปเยี่ยมชมพระธาตุศรีสองรัก ถูกสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ กษัตริย์กรุงศรีอยุธยา และพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ที่เปรียบเสมือนคำมั่นสัญญาแห่งการเป็นมิตรกันของบ้านพี่เมืองน้องอย่างไทยและลาว

 

ชาร์จพลังกาย-ใจ ที่ 4 จ.ภาคอีสาน 

 

             มาถึงพระธาตุศรีสองรักแล้ว เวลา 16.00 น. ก็อย่าลืมแวะไปที่ วัดเนรมิตวิปัสสนา ซึ่งเป็นวัดที่มีพระอุโบสถทำจากศิลาแลงที่มีความงดงามเป็นอย่างมาก ภายในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานของ พระพุทธราชชินราชจำลอง เมื่อเข้ามาที่วัดนี้แล้วจะสัมผัสได้ถึงความร่มรื่น สงบ และสวยงาม เหมาะต่อการทำจิตใจให้สงบเป็นอย่างมาก

 

             หากยังไม่จุใจ ก็ไปเที่ยวกันต่อที่เมืองดอกบัวงามอย่างจังหวัดอุบลราชธานี เวลา 08.00 น. ออกเดินทางสู่ผาแต้ม เพิงผาที่ทอดตัวยาวเคียงคู่แม่น้ำโขง มาแต่ครั้งบรรพกาล ผ่านพ้นวันเวลากว่า 3,000 ปี จนเกิดเป็นเรื่องราวเล่าขานว่า เป็นเพิงผาถิ่นอาศัยเก่าแก่ ของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ ที่สำคัญใต้เพิงผาแห่งนี้ยังปรากฏภาพเขียนฝาผนังครั้งโบราณที่ยาวที่สุดในโลกซ่อนอยู่ จากนั้นเวลา 11.00 น. ไปชมความงามของน้ำตกลงรู ที่มีลักษณะเป็นธารน้ำบนลานหินทราย ที่ซ่อนเรื่องราวแปลกประหลาดไว้โดยใช้ก้อนกรวดทรายพัดเหวี่ยงหมุนวนบนกระแสน้ำ เกิดเป็นหลุมขึ้นที่เหนือเพิงผาทะลุเพดานถ้ำ จนทำให้สายน้ำไหลทะลุลงมา จนถูกชาวบ้านเรียกขานว่าเป็น น้ำตกลงรู คู่อุทยานแห่งชาติผาแต้ม

 

            เวลา 13.00 น. แวะไปหาความสงบทางจิตใจที่วัดสุปัฏนารามวรวิหาร ซึ่งเป็นพระอารามหลวงที่ตั้งอยู่ในภูมิทัศน์ที่ร่มรื่นสวยงาม พระอุโบสถเป็นศิลปะไทย-จีน-ยุโรป หน้าโบสถ์มีรูปสิงโตคล้ายของจริงสองตัว ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระสัพพัญญูเจ้า เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขัดเงาไม่ปิดทองที่สง่างามมาก ทั้งยังมีหอศิลปวัฒนธรรม สำหรับเก็บรักษาโบราณวัตถุที่มากค่าอย่างเสมาหิน ศิลาจารึก และทับหลังอีกด้วย จบทริปเมืองดอกบัวงามด้วยการไปเยือนแก่งสะพือ เวลา 16.00 น. เดินทางถึงแก่งที่สวยงามที่สุดในแม่น้ำมูล แก่งแห่งนี้มีหินน้อยใหญ่ สลับซับซ้อน และเมื่อกระแสน้ำไหลผ่านกระทบหิน จะเกิดเสียงดัง แล้วปรากฏเป็นฟองสีขาวขึ้นอย่างสวยงามน่าประทับใจ

 

 ชาร์จพลังกาย-ใจ ที่ 4 จ.ภาคอีสาน

 

           ปิดท้ายกันที่จังหวัดขอนแก่น เริ่มต้นกันที่เวลา 08.00 น. ที่อุทยานแห่งชาติภูเวียง ซึ่งถือว่าเป็นบ้านหลังใหญ่ของไดโนเสาร์ เต่าล้านปี ที่นักโบราณคดีขุดค้นพบซากดึกดำบรรพ์เพียบ! ไม่เพียงเท่านี้ ความน่าสนใจของที่นี่ไม่ได้มีแต่เพียงไดโนเสาร์เท่านั้น ยังมีการพบร่องรอยอารยธรรมโบราณอย่างพระพุทธรูปปางไสยาสน์ ประติมากรรมนูนสูงสลักบนหน้าผาของยอดเขาภูเวียง และยังพบถ้ำฝ่ามือแดง ที่เป็นงานศิลปะของมนุษย์ถ้ำโบราณ ลักษณะของภาพเกิดจากการพ่นสีแดงลงไป ในขณะที่มือทาบกับผนังถ้ำก่อให้เกิดเป็นรูปฝ่ามือขึ้น

 

           ไปย้อนรอยอารยธรรมกันต่อที่เวลา 10.00 น. เดินทางสู่เมืองโบราณสมัยทวาราวดี สถานที่ซึ่งมีการค้นพบร่องรอยทางโบราณคดีที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดของแก่น ซึ่งได้มีการค้นพบใบเสมาหินทรายศิลปะทวาราวดี 3 ชิ้น เศษภาชนะดินเผา และยังค้นพบโครงกระดูกมนุษย์ที่มีพิธีฝังศพตามประเพณีโบราณ มีธรรมเนียมการฝัง เครื่องมือเครื่องใช้ลงไปพร้อมศพด้วย อาทิ หม้อ ภาชนะดินเผา กำไลสำริด กำไลกระดูกสัตว์ เปลือกหอย ลูกปัดหินสี และอื่น ๆ อีกมากมาย เรียกได้ว่าเป็นแหล่งอารยธรรมที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดนี้เลยทีเดียว

 

           ส่วนใครที่ชอบความหวาดเสียวเวลา 13.00 น. ก็แวะไปได้ที่หมู่บ้านงูจงอาง ซึ่งชาวบ้านที่นี่เกือบทุกหลังคาเรือน จะเลี้ยงงูจงอางไว้ใต้ถุนบ้าน เพื่อนำไปจัดแสดงโชว์นักท่องเที่ยว อาทิ ละครงู การชกมวยระหว่างคนกับงู เป็นต้น ส่วนใครที่มีปัญหาเรื่องโรคหัวใจก็เลี่ยงสักหน่อยก็พอ เพราะหวาดเสียวเหลือเกิน อาจส่งผลอันตรายต่อสุขภาพของหัวใจได้ จากนั้นเวลา 16.00 น. มุ่งหน้าสู่ศาลาไหมไทย ซึ่งเป็นศูนย์สืบงานศิลปาชีพด้านผ้าไหมและผลิตภัณฑ์ไหมของภาคอีสาน รวมทั้งเป็นศูนย์อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวอีสาน ภายในอาคารจัดแสดงกรรมวิธีการ ผลิตตั้งแต่มัดย้อมจนถึงวิธีการทอ อุปกรณ์เครื่องใช้เกี่ยวกับไหมและของเก่าแก่ควรอนุรักษ์ รวมถึงผ้าไหมมัดหมี่โบราณลวดลายต่างๆ ที่พิเศษ ที่สุดคือที่นี่จัดแสดงผ้าไหมมัดหมี่ที่แพงที่สุด ในโลกฝีมือชาว อ.ชนบท และเคยชนะการประกวดผ้าไหมของเอเชีย พร้อมทั้งได้รับพระราชทาน ถ้วยรางวัลจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารีอีกด้วย

 

           นอกจากสี่จังหวัดที่เราได้แนะนำไปแล้วนั้น ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดอื่นๆ ของภาคอีสานที่เต็มไปด้วยความสวยงามรอให้เราได้ไปสัมผัสถึงความมหัศจรรย์ทั้งยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมืองไทยให้เฟื่องฟูอีกด้วย เหมือนที่มีคำกล่าวว่า เที่ยวไทยครึกครื้น เศรษฐกิจไทยคึกคัก ค่ะ

 

 

 

 

 

 

 

ที่มา : อารยา สิงห์สวัสดิ์ Team content www.thaihealth.or.th

 

 

Update 23-02-53

 

อัพเดทเนื้อหาโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์

Shares:
QR Code :
QR Code