จากความเปราะบางสู่การสร้างภูมิคุ้มกันทางใจ

เรื่องโดย ภินันท์ชญา สมคำ Team Content www.thaihealth.or.th

ข้อมูลจาก พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการขับเคลื่อนและพัฒนาจิตอาสาในสถานรองรับเด็ก

ภาพโดย ภินันท์ชญา สมคำ Team Content www.thaihealth.or.th และแฟ้มภาพ

                    ❝ เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ มักทำให้หัวใจใครหลายคนอบอุ่นขึ้น แต่รอยยิ้มเด็กบางคน  อาจมีเรื่องราวหนักอึ้งเกินวัยซ่อนอยู่ในความยากจน เผชิญความรุนแรง ครอบครัวแตกแยกและไม่น้อยที่เข้าสู่การดูแลของรัฐ บางบ้านติดปัญหากฎหมายคนเข้าเมือง❞  

                    เรื่องเหล่านี้ ไม่เพียงส่งผลต่อชีวิตประจำวันแต่ทิ้งร่องรอยไว้ในใจ ทำให้พวกเขาเติบโตท่ามกลางบาดแผลทางอารมณ์และความรู้สึกโดดเดี่ยว จนท้ายที่สุดพวกเขาต้องมาอยู่ใน “สถานรองรับเด็ก” ซึ่งอย่างน้อยก็เป็นพื้นที่ปลอดภัยและมีคนให้พึ่งพิง

เพราะทุกตัวเลขคือชีวิตจริง

                    “…เด็กที่อยู่ในสถานรองรับเด็กจำนวนมาก มาจากครอบครัวที่ยากจน ขาดที่อยู่อาศัย เผชิญความรุนแรง หรือการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ ซึ่งสอดคล้องกับรายงานสถานการณ์ด้านเด็กและเยาวชน ปี2566 โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน ตัวเลขบอกเราว่า เด็กที่มาจากครอบครัวยากจนมีถึง 20% ผู้ปกครองไม่สามารถเลี้ยงดูได้ 3.50% และครอบครัวที่กระทำความผิดตาม พ.ร.บ. คนเข้าเมืองอีก 3.26% แต่ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ “สถิติ” เพราะสำหรับเด็กแต่ละคน…”

                    นางเบญจมาภรณ์ ลิมปิษเฐียร รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เล่าอย่างตรงไปตรงมา ในงานเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2568 ที่โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชัน เซ็นเตอร์ กรุงเทพฯ  ในโอกาสร่วมกับกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) และมูลนิธิสุขภาพไทย ลงนามความร่วมมือภายใต้โครงการ “จิตอาสา : ยั่งยืนจากภายใน สู่พลังการเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตเด็กในสถานสงเคราะห์”

                    มันคือความจริงที่เจอในใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงในครอบครัว การไร้บ้าน หรือแม้แต่การตั้งครรภ์ไม่พร้อม สิ่งเล็ก ๆ ที่พวกเขาต้องการมากที่สุดคือ “ความหวัง” จากใครสักคนในสังคม นี่จึงเป็นเหตุผลที่โครงการนี้มุ่งเน้นการสร้าง “ภูมิคุ้มกันทางใจ” ให้กับทั้งบุคลากรและอาสาสมัคร เพื่อที่พวกเขาจะได้เรียนรู้การมองเห็นคุณค่าของตัวเอง เข้าใจความทุกข์ของคนอื่นและพร้อมส่งต่อพลังบวกให้กับเด็ก ๆ  รองผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวย้ำอีกครั้ง

                    ในงานเดียวกัน นางอภิญญา ชมภูมาศ อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวถึงความร่วมมือว่า… วันนี้เป็นการขับเคลื่อนงานจิตอาสาในสถานรองรับเด็ก 4 ด้าน ทั้งการผลักดันนโยบาย การพัฒนางานวิชาการ การเสริมศักยภาพบุคลากรและอาสาสมัคร รวมถึงการสื่อสารผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพียงการช่วยเหลือชั่วคราว แต่คือการสร้างกลไกที่ยั่งยืน เพื่อให้เด็ก ๆ มีคนอยู่เคียงข้างเสมอไม่ว่าพวกเขาจะเผชิญเรื่องอะไร

                    คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นว่า  เด็กไม่ได้ต้องการแค่ที่อยู่หรืออาหารเท่านั้น แต่ต้องการ “ใครสักคน” ที่พร้อมจะเข้าใจและอยู่ข้าง ๆ ด้วยการเติมเต็มสิ่งที่ขาด ให้หัวใจเด็กอุ่นขึ้น  ซึงปัจจุบันประเทศไทยมีสถานรองรับเด็กกว่า 32 แห่ง บางแห่งเจ้าหน้าที่ 1 คนต้องดูแลเด็กเฉลี่ย 8–15 คน  ทำให้ความใกล้ชิดแบบรายบุคคลเป็นสิ่งที่ยากจะเกิดขึ้น  เด็กหลายคนจึงขาดโอกาสที่จะได้รับความอบอุ่นหรือทำกิจกรรมที่เหมาะสมกับวัย โครงการนี้จึงเปรียบเสมือนสะพาน ที่เชื่อมพลังของอาสามาเติมเต็มสิ่งที่ขาด ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุย การเล่น การเรียนรู้ หรือเพียงแค่การมีใครสักคนที่พร้อมรับฟัง

                    อีกทั้งทำให้หวนนึกถึง พระไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้า  มิถุนายน 2567 ไว้ว่า “…มีวัยรุ่นคนหนึ่งชื่อ ทิกเกอร์ เป็นคนไทย ตอนนี้ก็เรียนอยู่ชั้น ม.6 ทุกปีช่วงปิดเทอมใหญ่เขาจะไปเป็นจิตอาสา ปิดเทอมนี้วัยรุ่นส่วนใหญ่ก็นึกถึงแต่การไปเที่ยว หาที่เที่ยว แต่ทิกเกอร์นี้เขาหาที่ที่จะไปเป็นจิตอาสา ก่อนหน้านี้ก็ไปเป็นจิตอาสาที่โรงพยาบาลรามา ไปเป็นจิตอาสาที่ศูนย์อนามัยใกล้บ้าน และบางครั้งก็ไปเป็นจิตอาสาของโรงเรียน เช่น ทาสี หรือว่าทำความสะอาด

                    บางครั้งก็ไปเป็นจิตอาสาแถวสวนลุมพินี ไปเป็นไกด์รันเนอร์ ไกด์รันเนอร์ คือคนที่ไปเดินเคียงข้างผู้พิการทางสายตาหรือตาบอด คนตาบอดเขาอยากจะเดินอยากจะวิ่ง แต่ว่าตาเขาไม่ค่อยดีถ้ามีคนช่วยเดินหรือวิ่งประกบ ก็ทำให้เขาวิ่งหรือเดินได้ถูกทาง…”

                    ดังนั้นทำให้มองเห็นถึงการเป็นจิตอาสาไม่ได้ช่วยเพียงผู้ที่เดือดร้อน แต่ยังเป็นการฝึกใจของเราให้เติบโต และค้นพบความหมายใหม่ของการมีชีวิตอยู่ ซึ่งในมุมของเด็กและเยาวชนที่เติบโตมากับบาดแผลในใจ จิตอาสาจึงไม่ใช่เพียงผู้ช่วยเหลือ แต่คือแรงบันดาลใจและกำลังใจสำคัญที่ทำให้พวกเขาเชื่อมั่นว่า “วันหนึ่ง ฉันก็จะมีอนาคตที่ดีได้”

อาสาที่เปลี่ยนชีวิต

                    นายวีรพงษ์ เกรียงสินยศ เลขาธิการมูลนิธิสุขภาพไทย เล่าถึงขั้นตอนของโครงการว่า จะเริ่มจากการหาคนที่อยากเป็นอาสา เตรียมความพร้อมให้เขา เข้าใจวิธีอยู่กับเด็ก จากนั้นจึงจับคู่เด็กกับอาสาแบบ 1 ต่อ 1 เพื่อสร้างความไว้ใจ และปิดท้ายด้วยการถอดบทเรียนว่าเด็ก ๆ

อาสาได้เรียนรู้อะไรบ้าง

                    “ถ้าอาสามีใจที่มั่นคง เด็กก็จะค่อย ๆ ซึมซับและเรียนรู้ไปด้วย เขาจะได้ทักษะชีวิตที่ช่วยให้ก้าวข้ามความเปราะบาง และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมมอบพลังบวกคืนให้สังคม” นายวีรพงษ์กล่าว

                    สิ่งที่เกิดขึ้นในโครงการนี้สะท้อนว่า งานจิตอาสาไม่ใช่เพียงกิจกรรมเล็ก ๆ ที่ทำแล้วก็จบไป แต่คือการสร้างระบบสนับสนุนที่ยั่งยืน เด็ก ๆ ได้รับความอบอุ่นและโอกาสในการพัฒนาตัวเอง  ขณะที่อาสาก็ได้เรียนรู้ เติบโต และค้นพบความสุขจากการเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง

                    การลงนาม MOU ที่สสส. ร่วม กรมกิจการเด็กและเยาวชน และ มูลนิธิสุขภาพไทย ครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงการสานพลัง แต่เป็น “ความตั้งใจร่วม” จากทุกภาคส่วนที่จะร่วมกันทำให้เยาวชนเติบโตอย่างแข็งแรง มีความสุข และพร้อมเป็นกำลังสำคัญของอนาคตประเทศ เพราะบางครั้ง เพียงรอยยิ้ม ความใส่ใจ และเวลาจากใครสักคน ก็สามารถทำให้หัวใจเล็ก ๆ อบอุ่นขึ้นได้ “บางทีเราอาจเริ่มได้จากการเป็นเพื่อนรับฟังเด็กสักคน”

                    นี่คือการวางรากฐานของความยั่งยืน ที่ สสส.ไม่เพียงมุ่งมั่นเปลี่ยนชีวิตเด็ก ๆ ในวันนี้เท่านั้น  แต่ยังปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งความหวังและความเข้มแข็งให้กับวันพรุ่งนี้ของสังคมไทยอีกด้วย

Shares:
QR Code :
QR Code