จับมือภาคเอกชนพัฒนาชุมชนท้องถิ่น

สสส. ลงนามความร่วมมือ กลุ่มมิตรผล จับมือภาคเอกชนเป็นทางการครั้งแรก ร่วมพัฒนาชุมชน 9 ตำบล หวังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต พัฒนาชุมชน ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง เกิดต้นแบบชุมชนพึ่งพาตนเอง เข้มแข็งยั่งยืน เล็งต่อยอดสร้าง “ศูนย์เรียนรู้” เกษตรพืชเชิงเดี่ยว


จับมือภาคเอกชนพัฒนาชุมชนท้องถิ่น thaihealth


เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2558 ที่ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ กลุ่มมิตรผล ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “การพัฒนาชุมชนท้องถิ่นอย่างยั่งยืน” โดยบูรณาการองค์ความรู้จากภาครัฐ และแนวทางการบริหารจัดการของภาคเอกชน เพื่อร่วมสร้างสุขภาวะที่เข็มแข็งในพื้นที่ 9 ตำบล อาทิ ต.บ้านแก้ง และต.โคกสะอาด อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ, ต.บ้านเม็ง และต.กุดกว้าง อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น เพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีชุมชนและผู้ขาดโอกาสในชุมชนในทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม สุขภาวะ จิตใจ และสิ่งแวดล้อม พร้อมผลักดันให้ชุมชนท้องถิ่นเป็นแกนหลักในการบริหารจัดการตนเอง เพื่อการพัฒนาและพึ่งพาตนเองอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน โดยมี ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส  ให้ข้อแนะนำต่อการทำงานร่วมกันของ สสส.กับกลุ่มมิตรผล และนายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานกรรมการกลุ่มมิตรผล เครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ เป็นสักขีพยาน


ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการสสส. กล่าวว่า สสส. เล็งเห็นถึงความสำคัญของการสร้างชุมชนท้องถิ่นให้เข้มแข็ง เพราะต้องการเห็นชุมชนท้องถิ่นมีความสุข และสังคมไทยมีความเข้มแข็ง เชื่อว่าการจะสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่นั้น จุดเริ่มต้นที่สำคัญเป็นลำดับแรกอยู่ที่ชุมชนท้องถิ่นจะต้องยืนได้ด้วยตัวเอง สสส. จึงเริ่มผลักดันเครือข่ายตำบลสุขภาวะมาตั้งแต่ ปี 2552 เพื่อหวังให้เป็นก้าวแรกของการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นให้เข้มแข็ง สามารถจัดการตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนขยายผลมาสู่ความร่วมมือกับกลุ่มมิตรผล ซึ่งการประสานการทำงานอย่างเข้มแข็งระหว่าง สสส. และกลุ่มมิตรผล ใน โครงการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน นอกจากจะเป็นเจตนารมณ์ที่ดีในการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ชุมชมทุกมิติ เพื่อให้เกิดสุขภาวะอย่างแท้จริงแล้ว ยังถือเป็นแบบอย่างที่ดีของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ในการร่วมกันพัฒนาสังคม และส่งเสริมให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง จนสามารถยกระดับไปสู่การเป็นชุมชนต้นแบบ และถ่ายทอดความรู้ให้กับพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ รวมถึงยังสร้างแรงบันดาลใจและความภาคภูมิใจให้กับชุมชน ในการพึ่งพาตนเองอย่างพอเพียง และสร้างความสุขได้อย่างยั่งยืน


“สสส. จะให้การสนับสนุน 4 ด้าน คือ1.การร่วมกันพัฒนาพื้นที่รอบโรงงานมิตรผลให้เป็น “ศูนย์เรียนรู้” สำหรับให้ชุมชนรอบโรงงานทั่วประเทศได้เข้าไปเรียนรู้อย่างเป็นระบบ 2.การขยายงานระดับหมู่บ้านที่มิตรผลได้ดำเนินการไว้ให้ขยายเป็นระดับตำบลโดย สสส. จะเป็นตัวเชื่อมประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้ามีบทบาทหนุนเสริมและปฏิบัติการร่วมกับหมู้บ้านในตำบล 3.สสส. สนับสนุนให้มีการพัฒนาศักยภาพผู้นำชุมชนในพื้นที่เป้าหมายที่มิตรผลกำหนดไว้ให้มีขีดความสามารถในด้านการพัฒนาระบบข้อมูลและการพัฒนานโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม 4.จะร่วมกันถอดบทเรียนการทำงานร่วมกันและประมวลเป็นรูปแบบ (โมเดล) เสนอต่อองค์กรภาคธุรกิจเอกชนที่สนใจ รวมถึงการเสนอต่อสาธารณะเพื่อให้สังคมเห็นโอกาสในการทำงานร่วมกับภาคธุรกิจเอกชนองค์ความรู้ในการสร้างสุขภาวะ”ทพ.กฤษดากล่าว


นายกฤษฎา มนเทียรวิเชียรฉาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มมิตรผล กล่าวว่า กลุ่มมิตรผล มีเจตนารมณ์ในการดำเนินธุรกิจควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสังคมและธรรมาภิบาลมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในทุกส่วน ซึ่งรวมถึงเกษตรกรและชุมชน สามารถเติบโตและอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “ร่วมอยู่ ร่วมเจริญ” ด้วยเหตุนี้เราจึงได้นำเสนอโครงการพัฒนาต่างๆ นับตั้งแต่โครงการหมู่บ้านเพิ่มผลผลิตที่เริ่มต้นขึ้นในปี 2545 เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีการปลูกอ้อยที่ช่วยลดต้นทุน เพิ่มรายได้และผลกำไรให้กับเกษตรกร ต่อเนื่องมาจนถึงโครงการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นการพัฒนาชุมชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกด้าน นอกจากรายได้เชิงเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว และในครั้งนี้ นับเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือครั้งสำคัญที่กลุ่มมิตรผลได้ร่วมมือกับ สสส. ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่ดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน และมีองค์ความรู้ที่สามารถส่งเสริมการดำเนินงานเพื่อพัฒนาชุมชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกมิติของตำบลมิตรผลร่วมพัฒนาให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยและชุมชนมีความอยู่ดีกินดี มีสุขภาวะในทุกด้านอย่างแท้จริง และเหนือสิ่งอื่นใดคือสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างเข้มแข็ง


“กลุ่มมิตรผล จะสนับสนุนการพัฒนาอาชีพหลักของชุมชนอย่างต่อเนื่อง เช่น การปลูกอ้อย ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยลดต้นทุน และเน้นการสร้างอาชีพเสริมให้กับเกษตรกรและชุมชนในพื้นที่ที่มีอยู่เดิม อาทิ การปลูกผัก เลี้ยงปลา เพื่อเพิ่มรายได้ ลดรายจ่ายในครัวเรือน รวมถึงการส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ชุมชน ซึ่งจะช่วยสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชนต่อไป นอกจากนี้ ยังส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานผู้พิการ ให้สามารถพึ่งพาตนเองและเกิดความภาคภูมิใจในการสร้างประโยชน์ให้กับชุมชน” นายกฤษฎา กล่าว


ด้าน นายสมพร ใช้บางยาง ประธานกรรมการบริหารแผน คณะที่  3 สสส. กล่าวว่า เครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่  โดยการสนับสนุนของ สสส. ทำงานร่วมกันและเรียนรู้นำสู่การปฏิบัติในพื้นที่ต่อเนื่องมา 5 ปี โดยรูปธรรมชัดเจนคือ การหนุนเสริมให้ชุมชนท้องถิ่นสู่การจัดการตนเอง และการพัฒนาศักยภาพผู้นำชุมชนท้องถิ่นให้ทำหน้าที่สร้างความร่วมมือและพัฒนาความเป็นพลเมืองคนในชุมชนจนถึง ปัจจุบันนี้ เครือข่ายฯ มี “ศูนย์เรียนรู้ด้านการจัดการสุขภาวะชุมชน” ถึง 91 แห่ง ทำหน้าที่ทั้งสร้างการเรียนรู้และการจัดการเครือข่าย  มีพื้นที่ปฏิบัติการในเขตความรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเครือข่ายกว่า 2,500 แห่ง


ปี 2558 เป็นปีแห่งความพร้อมของเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ 5 ด้าน คือ พลังผู้นำ พลังข้อมูล พลังวิชาการ พลังองค์กร พลังปัญญา พลังทั้งเป็นทุนและศักยภาพของเครือข่ายในการประสานความร่มมือและบูรณาการเข้าสู่ภารกิจขององค์กรจนเป็นวิถีปฏิบัติของคนในชุมชน เครือข่ายฯ จึงเห็นพ้องกันในการร่วมมือกับบริษัทมิตรผล ดังนี้ 1.การน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ไปสู่การปฏิบัติในระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน และตำบล 2.การสนับสนุนให้เกิดเครือข่ายเกษตรกร ให้มีขีดความสามารถในการจัดการเรื่องความมั่นคงทางอาหาร การประกอบสัมมาชีพเสริมในช่วงที่มีเวลาว่าง แม้ว่าจะทำการเกษตรพืชเชิงเดี่ยวเป็นหลัก โดย สสส. จะร่วมพัฒนาให้เป็น “ศูนย์เรียนรู้” สำหรับเกษตรกรที่ทำไร่พืชเชิงเดี่ยว3.สนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนาระบบข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการแปลงและการจัดการพื้นที่สำหรับผลิตอาหารสำหรับครอบครัวตนเอง


 


 


ที่มา : สำนักข่าวสร้างสุข


 


 

Shares:
QR Code :
QR Code