คุณพ่อรุ่นใหม่ยอมให้ลูกกินนมแม่
ในสมัยเก่า แต่โบราณนานมา ไม่ว่าจะเดินไปที่บ้านของคุณแม่คนไหน ก็จะได้เห็น ลูกๆได้ดื่มนมจากอกแม่กันทั้งนั้น แต่เมื่อ กาลเวลาผ่านเข้าสู่ยุคกลางเก่ากลางใหม่ คือยังครึ่งๆ กลางๆ ระหว่างรอยต่อของความเก่ากับความใหม่ค่านิยมของบรรดาพ่อแม่ที่เคยให้ลูกดื่มนมจากอกแม่ มีการเปลี่ยนแปรไปตามทัศนคติของแต่ละครอบครัว ทำให้ได้เห็นภาพของการเลี้ยงลูกแต่ละครอบครัวแตกต่างกันไปเป็นต้นว่าพ่อแม่ เริ่มที่จะเคยกีดกันไม่ให้ลูกมีโอกาสดื่มนมจากอกแม่แต่อาศัยนมจากวัวมาให้ลูกดื่มแทนนมแม่ มาถึงวันนี้ เป็นยุคใหม่ ค่านิยมของผู้เป็นพ่อและแม่ ที่ปิดกั้นโอกาสของลูกในการดื่มนมจากอกแม่ เริ่มที่จะเปลี่ยนกลับไปสู่ยุคเก่าอีกแล้วโดยทั้งพ่อและแม่มีความเห็นว่า ลูกควรได้ดื่มนมจากอกแม่เพราะอาหารที่เป็นเลิศที่สุดของเด็กในขณะอยู่ในวัยทารกนั้นน้ำนมแม่เป็นอาหารมีประโยชน์ที่สุด
เห็นได้จากการจัดกิจกรรมของมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่ได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายภาคประชาสังคม จัดกิจกรรมเดินรณรงค์สนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ “คุณพ่อขอมา..(ให้นมลูกเอง)” ซึ่งปีนี้นอกจากจะ เน้นเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่แล้ว ยังให้ความสำคัญกับการเชิญชวนคุณพ่อเข้าร่วมช่วยเลี้ยงลูกอีกแรงหนึ่งด้วย
นายธีรพงษ์ ผลวิวัฒน์ ในฐานะคุณพ่อที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่บอกว่า ปัจจุบันมีลูก 2 คน ลูกสาวคนโตอายุ 13 ปี ลูกชายคนเล็กอายุ 8 ขวบ ในช่วงที่ภรรยาคลอดลูกคนแรกตนได้ลาออกจากงานพร้อมภรรยาโดยมีเงินเก็บออม อยู่บ้าง เพื่อมาเลี้ยงลูก เพราะลูกจำเป็นต้องได้รับความอบอุ่นและไม่อยากให้ภรรยาต้องเลี้ยงลูกคนเดียว แต่ปัญหา คือ ช่วงมีลูกคนแรกยังไม่รู้เรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ขณะที่ภรรยามีน้ำนมออกมาน้อย ทำให้เลี้ยงด้วยนมแม่ได้แค่ 2 เดือน เมื่อมีลูกคนที่สอง เริ่มมีความรู้มากขึ้น ประกอบกับเพื่อนของภรรยาทำงานที่ศูนย์นมแม่ฯ จึงได้รับคำปรึกษาจนมีความรู้ในการรีดนมแม่ และวิธีการเพิ่มน้ำนม ซึ่งช่วงแรกยอมรับว่าท้อใจ แต่หลังจากนั้นพอได้รับความรู้ ก็รู้วิธีในการเพิ่มน้ำนมแม่มากขึ้น จนสามารถเลี้ยงด้วยนมแม่ถึงอายุ 1 ขวบครึ่ง
นายธีรพงษ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ทุกวันนี้ลูกทั้งสองคนมีความแตกต่างในเรื่องสุขภาพมาก โดยลูกสาวคนโตจะเป็นโรคภูมิแพ้ตั้งแต่เด็ก ตอนอายุไม่ถึง 1 ขวบ ก็มีไข้สูงและชักจนต้องเข้าโรงพยาบาล และมีอาการภูมิแพ้ด้วย ขณะที่ลูกชายคนเล็กมีสุขภาพแข็งแรงมาก แทบไม่เคยเป็นหวัดเลย แสดงให้เห็นว่าน้ำนมแม่มีคุณค่าทางสารอาหาร และมีผลต่อสุขภาพของลูกในระยะยาว”
สมัยก่อนคนมักคิดว่าการเลี้ยงลูกเป็นหน้าที่ของผู้หญิง แท้จริงแล้วควรต้องช่วยกันทั้งสองคน การที่ผู้ชายมีส่วนร่วมในการเลี้ยงลูก นอกจากจะช่วยให้ใกล้ชิดกับลูกแล้ว ยังทำให้แม่มีสุขภาพจิตดี และมีน้ำนมมาเลี้ยงลูกมากขึ้น การเลี้ยงลูกไม่ใช่เรื่องง่าย หากภรรยาต้องเลี้ยงคนเดียว ก็จะต้องเหนื่อยทั้งกาย ทั้งใจ การที่มีพ่อมาช่วยแบ่งเบาภาระ ช่วยทุกอย่าง ทั้งงานบ้าน ซักผ้า ทำอาหารอาบน้ำลูก ย่อมนำความสุขมาสู่คนในครอบที่จะทำให้ความรัก ความผูกพันแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
อีกคน นางวินรัตน์ ศันสนะเกียรติ กล่าวว่าตนเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จนถึงอายุกว่า 7 เดือน และสามีก็คอยช่วยเลี้ยงลูกมาโดยตลอด ซึ่งระหว่างที่ตนให้นมลูก สามีจะมาคอยจับมือให้กำลังใจ แม้กระทั่งช่วงคลอดลูกใหม่ๆต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาล 5 วัน สามีก็ลางาน 5 วันเพื่อมาอยู่ด้วย ส่วนปัญหาน้ำนมไม่มากในช่วงแรก ก็มีท้อใจบ้าง แต่ได้รับฟังคำแนะนำจากแพทย์ รวมทั้งใช้เครื่องรีดน้ำนม แม้กระทั่งหลังลาคลอดแล้วตนก็ยังต้องนำกระติกไปใส่น้ำนมในที่ทำงานเพราะจะมีน้ำนมไหลออกมาทุกชั่วโมง ตอนนี้ลูกอายุ 4 ขวบแล้ว มีร่างกายที่แข็งแรงมาก ระบบขับถ่ายดี ไม่เคยท้องอืดภูมิแพ้แทบไม่เคยเป็น แสดงให้เห็นว่าน้ำนมแม่มีคุณค่าทางสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
ด้าน พญ.ยุพยง แห่งเชาวนิช เลขาธิการมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย ได้ย้ำถึงคุณค่าของน้ำนมแม่ ว่าน้ำนมแม่ มีสารไขมันและสารอาหาร ช่วยให้เส้นใยสมองของลูกแข็งแรง เด็กที่กินนมแม่ มักไม่ป่วยบ่อย ไม่ค่อยเป็นโรคภูมิแพ้ ที่สำคัญไม่มีนมใดๆ มาทดแทนหรือสร้างความรู้สึกที่ดีให้ลูกได้มากเท่ากับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ จึงควรให้ลูกได้รับนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือน และให้นมแม่ร่วมกับอาหารอื่นตามวัยจนถึงอายุ 2 ขวบ ซึ่งจะช่วยให้เด็กมีพัฒนาการทางสมองที่ดี มีแนวโน้มที่เด็กจะฉลาดมากกว่าเด็กที่ไม่ได้กินนมแม่
วันนี้ พ่อแม่ที่รักลูกด้วยความจริงใจต้อง จดจำเอาไว้อย่าให้ลืมได้เป็นอันขาดว่า พัฒนาการของเด็กไทยจะดีขึ้นได้ในพริบตา หากเด็กๆ ได้กินนมแม่ทุกคน
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า โดย ปานมณี