ความหวังในพลังใหม่
มีผลสำรวจความเห็นประชาชนชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจเมื่อไม่นานมานี้ ระบุว่า มีคนรู้เรื่องการปฏิรูปประเทศไทยประมาณ 20% แต่เชื่อมั่นในการปฏิรูปเพียง 10% ซึ่งในระยะสองเดือนที่ผ่านมา ผมได้พบกับแกนนำภาคประชาชนทั้งภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลางและกรุงเทพฯ บางส่วน พบว่ามีกลุ่มคนที่มีความกระตือรือร้นอยากทำอะไรเพื่อบ้านเมืองจำนวนไม่น้อย คาดว่าน่าจะมีประมาณ 2-3 ล้านคนใน 63 ล้านคนทั่วประเทศ ดังนั้น ถ้าแปรจำนวนคนที่มีความเชื่อมั่นว่าการปฏิรูปจะทำได้ ก็มีประมาณ 5 ล้านคน ส่วนคนที่สนใจหรือตื่นตัวทางการเมืองมีประมาณ 13-14 ล้านคน
everett rogers นักวิชาการชื่อดัง เคยพูดถึงการเผยแพร่ความคิดใหม่ๆ โดยได้ศึกษาเรื่องนี้มากว่า 30 ปีที่ผ่านมา เขาพบว่าผู้ที่มีส่วนสำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลงมีประมาณ 2-5% และหากคนกลุ่มนี้ขยายความคิดได้ คนอีกประมาณ 13% ก็จะรับความคิดนี้ต่อ จากนั้นการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายก็จะเกิดขึ้น พูดง่ายๆ คนทั้งหมดจะมีประมาณ 18% ที่เกี่ยวข้องกับต้นธารการเปลี่ยนแปลง ขณะที่งานวิจัยของนักสังคมศาสตร์ paretto พบว่าในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลง คนจำนวน 20% จะทำการเปลี่ยนแปลง 80% ส่วนคน 80% จะทำแค่ 20% ฉะนั้น จริงๆ แล้วการเปลี่ยนแปลงจะอยู่ที่คน 20% ที่ขับเคลื่อนเรื่องนี้
จากเวทีระดมสมองเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยหัวข้อพลังพลเมือง ซึ่งผมในฐานะ “กรรมการสมัชชาปฏิรูป” ได้ร่วมจัด ครั้งนี้ผู้ที่มาร่วมค่อนข้างหลากหลาย ตั้งแต่ทำงานองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เป็นข้าราชการกระทรวง เป็นอาจารย์สถาบันราชภัฏ ผู้นำชุมชน พวกเขาเหล่านี้มีความกระตือรือร้นมาก เพียงแต่ว่ากระบวนการยกระดับความรู้ ความสามารถจะต้องร่วมกันคิดว่า ควรทำอย่างไรให้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม เขายังไม่มีเครื่องมือนี้ แต่ใจเขามีเต็มร้อยที่อยากจะเปลี่ยนแปลง เหมือนนักมวยไทยที่ต่อยมวยสากล ถ้าเราได้โค้ชคิวบาเราก็ได้เหรียญทุกปี ความสามารถจึงต้องอาศัยการเรียนรู้บางอย่างด้วย
ฉะนั้นสิ่งสำคัญ คือ ประชาชนต้องมีทักษะในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและร่วมกันคิดเรื่องการเมืองใหม่ๆ เพราะที่ผ่านมาการเมืองไทยยังคิดแบบเป็นศาสตร์การเมืองแบบสมัยสงครามเย็น มองแบบกลไก มอบความไว้วางใจ ความสามารถให้กับนักการเมืองฝ่ายเดียว ซึ่งเรื่องนี้เป็นความคิดที่ถูกเพียงครึ่งเดียว อีกครึ่งต้องเป็นความสามารถของภาคประชาชนด้วย
ที่ผ่านมาเราอาศัยการวิเคราะห์รัฐศาสตร์แบบพรรคการเมือง นักการเมือง ซึ่งเราก็เห็นอยู่ว่าคนเหล่านี้ปกครองประเทศมาหลายสิบปี ก็มีความสามารถอยู่แค่นี้ ระบบราชการก็แค่นี้ และช่วงหลังหลายหน่วยงานก็ถือกฎหมายคนละฉบับกัน ยิ่งทำให้การแก้ปัญหาทับซ้อนยุ่งยากขึ้น
ที่นำมาพูดนี้เพื่อบอกว่า สำหรับการเปลี่ยนแปลงนั้น เราอย่าคิดหวังว่าต้องอาศัยน้ำมือของคนจำนวนมากเสมอไป บทเรียนจากหลายประเทศชี้ให้เห็นว่า คนที่ลงมือเปลี่ยนแปลงจริงๆ มีจำนวนไม่มาก
เพียงแต่เราต้องจัดระบบความคิด นำวิธีการเครื่องมือไปให้เขา ถ้ามีการยกระดับและเชื่อมโยงพลังเหล่านี้เข้าด้วยกัน มันก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้ และขณะนี้สังเกตได้ว่า ชาวบ้านทั่วไปเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น กล้าคิด กล้าโต้แย้ง เพราะการเคลื่อนไหวของเสื้อเหลือง เสื้อแดง ทำให้ประชาชนตื่นตัวทางการเมืองสูง และก็มีความเชื่อมั่นในตัวเองมากกว่าเดิม เพียงแต่ว่าเขาไม่มีการจัดตั้งที่เป็นระบบที่ดีพอ แล้วขาดแนวคิดสมัยใหม่ที่มีการยกระดับความสามารถตัวเอง ทำให้การจัดตั้งการเปลี่ยนแปลงทางสังคมยังทำได้ไม่ดีและยังอยู่ในระบบคิดแบบเดิมๆ
ส่วนตัวเห็นว่า ถ้ามีการสนับสนุน ส่งเสริมอย่างจริงจัง อย่างผมได้รับการสนับสนุนจาก สสส.ให้มาติดตาม ศึกษาพัฒนาศักยภาพของพลเมือง ซึ่งถ้าเราทำต่อเนื่อง 4-5 ปี ตั้งโจทย์ว่าทำอย่างไรให้คนไทยจำนวนหนึ่งเชื่อมเข้ามาหากันได้ ไม่ว่าคนทำงานในชุมชน อบต. หรือในระดับจังหวัด เขาก็จะมีทักษะในการทำงานที่ดีขึ้นได้ ทั้งนี้ การชุมนุมที่ผ่านมาเป็นการชุมนุมบนท้องถนนเพื่อขับไล่ ไม่เอา ปฏิเสธ แต่ถ้าเราจะสร้างสิ่งใหม่ ก็ต้องนั่งคิดร่วมกัน ไม่ใช่มาด้วยความโกรธไม่พอใจ ซึ่งหากเราลองจินตนาการว่า ถ้าแต่ละจังหวัดสามารถพูดคุยกับคนจังหวัดต่างๆ เช่น จังหวัดละ 500-1,000 คน มานั่งคุยกันว่าอยากทำอะไรบ้าง และจะไปเชื่อมโยงเพื่อนๆ ในจังหวัดอย่างไร ถ้าได้ 70 จังหวัดก็ได้หลายหมื่นคน ก็จะเกิดพลังมหาศาล
ผู้เขียนอยากเชิญชวนให้ทุกฝ่ายเข้าร่วมเวทีสนทนาในลักษณะนี้ ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 17 ต.ค. ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อร่วมกันสร้าง “พลังพลเมือง” ที่มาจากความมุ่งมั่น ตั้งใจและนำเสนอความเห็น และผลักดันนโยบายให้รัฐบาลทำ ขณะที่ภาคประชาชนก็จะทำเองส่วนหนึ่ง วันนี้ผู้เขียนสังเกตเห็นการเกิดใหม่ของพลังของการเปลี่ยนแปลง ที่ก่อตัวลึกๆ อยู่ เพียงแต่ว่ายังขาดการเชื่อมโยง ขาดการขยายตัว
สำหรับพลังเก่าของนักการเมืองทั้งหลายไม่ต้องพูดถึง เพราะพวกเขาคิดอย่างเดียวว่า ทำอย่างไรให้เขามีส่วนแบ่งในรัฐบาลใหม่ การจับขั้วกัน การคุยกันเป็นเพียงการรักษา ช่วงชิงอำนาจไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ตัวละครก็หน้าเก่า การจับคู่เป็นพันธมิตรกันอาจเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่มันเป็นเกมเก่า เล่นโดยคนเก่า เป้าประสงค์เดิมคือ ให้ได้มีอำนาจ ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงจะไม่เกิดขึ้นจากนักการเมืองแน่ ขณะที่การเปลี่ยนแปลงของฝ่ายประชาชนยังอยู่ในระยะของการปรับตัว ซึ่งยังต้องใช้เวลาอยู่ ไม่แน่ใจว่าจะใช้เวลา 2-3 ปีหรือไม่
ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ โดยนายชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์ ประธานสถาบันการเรียนรู้และพัฒนาประชาสัมคม
update : 15-10-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : สุนันทา สุขสุมิตร