ก้าวสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างมีความสุขทั้งใจและกาย

ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์


ก้าวสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างมีความสุขทั้งใจและกาย thaihealth


แฟ้มภาพ


สังคมไทยกำลังจะเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดการณ์และประมาณประชากรในปี 2583 ว่าจำนวนผู้สูงอายุในช่วงวัย 60-69 ปี จะเพิ่มสูงขึ้น 14% ช่วงวัย 70-79 ปี เพิ่มขึ้น 12% และช่วงอายุ 80-89 ปี เพิ่มขึ้น 6.1% เมื่อจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น นอกจากการเตรียม พร้อมสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุแล้ว การพัฒนาผู้สูงอายุให้มีศักยภาพสามารถพึ่งตนเองได้ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน


พญ.นัชชา เรืองเกียรติกุล กลุ่มงานเวชศาสตร์ครอบครัว รพ.ราชวิถี แนะนำว่า ผู้สูงอายุเป็นกลุ่มประชากรที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ ซึ่งแตกต่างจากวัยผู้ใหญ่ทั่วไป ผู้สูงวัยไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่เจ็บไข้ได้ป่วย แต่เป็นกลุ่มที่มีการเปลี่ยนแปลงในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย จิตใจ สังคม สมอง ความสามารถ ฯลฯ ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงมีความตื่นตัว และเตรียมการเพื่อรองรับและดูแลประชากร สูงวัยมากขึ้น


คุณหมอนัชชา แนะนำการดูแลผู้สูงวัยว่า แบ่งผู้สูงวัยเป็น 3 ช่วง อายุระหว่าง 60-69 ปี คือผู้ที่เพิ่งเริ่มย่างเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ ซึ่งส่วนใหญ่ยังมีสุขภาพแข็งแรงดี อาจมีโรคประจำตัวบ้าง เช่น เบาหวาน ความดัน ดังนั้น การดูแลจะเน้นไปที่การป้องกันหรือประเมินหาความเสี่ยงของโรค เช่น ตรวจภาวะกระดูกพรุน อายุระหว่าง 70-85 ปี เป็นช่วงอายุที่เริ่มมีโรคประจำตัวมากขึ้น ช่วยเหลือตัวเองได้น้อยลง ขณะเดียวกันผู้สูงอายุกลุ่มนี้ก็อยากจะพึ่งพาตัวเองให้ได้มากที่สุด ดังนั้นการดูแลจึงเป็นการทำให้ผู้สูงอายุคงคุณภาพชีวิตที่ดีด้วยการดูแลสุขภาพร่างกาย เช่น ดูแลกล้ามเนื้อ กระดูกและข้อไม่ให้ติด ช่วยให้ผู้สูงอายุเดินได้แม้มีภาวะเข่าเสื่อม และได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างพอเพียง เป็นต้น และอายุตั้งแต่ 86 ปีขึ้นไป เป็นกลุ่มผู้สูงอายุที่พึ่งตัวเองได้ลดลง และต้องการการดูแลจากลูกหลานญาติพี่น้อง ซึ่งผู้ดูแลต้องเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของผู้สูงอายุ นอก จากนี้ ในส่วนของผู้สูงวัยมีการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย จิตใจ สังคม สมอง ความสามารถในการ ประกอบกิจวัตรประจำวัน จึงเป็นช่วงวัยที่คนส่วนใหญ่กลัว


ดังนั้น การเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงต่างๆ จะช่วยให้ผู้สูงวัยได้ปรับตัว เตรียมใจยอมรับความเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้น ดูแลสุขภาพอนามัยให้ถูกต้อง เช่น ดูแลสุขอนามัยของช่องปาก รับประทานอาหารที่มีคุณค่าครบ 5 หมู่ มีโปรตีนปานกลาง ไขมันน้อย วิตามินมาก เน้นผัก-ผลไม้ ไฟเบอร์ และน้ำ เฝ้าระวังและชะลอความเสื่อมของร่างกาย โดยช่วยเหลือตนเองในการประกอบกิจวัตรประจำวันให้ได้มากที่สุด ออกกำลังกายให้เหมาะสมกับวัย เพื่อชะลอความเสื่อมด้านร่างกายและสมอง ไม่ควรคิดถึงอายุซึ่งล่วงเลยไปหรืออดีตด้วยความวิตกกังวล ควรสร้างความภาคภูมิใจในประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา เข้าใจต่อสังคมโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การคิด ความเชื่อ หรือหลักในการดำเนินชีวิตประจำวันอาจแตกต่างกันในแต่ละกลุ่มวัย ซึ่งความเข้าใจนี้จะช่วยให้ลูกหลาน และคนรอบข้างรู้สึกอบอุ่น ครอบครัวมีความสุข เป็นต้น

Shares:
QR Code :
QR Code