‘กิน อยู่ รู้คิด’ เปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อสิ่งแวดล้อม

เป็นที่ทราบกันดีว่า วันที่ 5 มิถุนายน ของทุกปีนั้น เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก ในแต่ละปีโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme : UNEP) ได้กำหนดประเด็นหลัก ในการรณรงค์เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลกให้เป็นทิศทางเดียวกันทั่วโลก โดยในปีนี้ได้กำหนดประเด็นหลักในการรณรงค์ว่า THINK – EAT – SAVE หรือ กิน อยู่ รู้คิด เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แล้วจะมีวิธีการบริโภคอย่างไรให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนั้น งาน วันสิ่งแวดล้อมโลก ประจำปี 2556 โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีคำตอบ…

นพ.วีรฉัตร กิตติรัตนไพบูลย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านบรรจุภัณฑ์ บริษัทบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า จากสภาพสังคมที่เร่งรีบ ทำให้การรับประทานอาหาร “กล่องโฟม” เป็นสิ่งที่หลายคนเลือก เพราะสะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลาทำอาหาร แต่ท่ามกลางความสะดวกสบาย กล่องโฟมก็แฝงไปด้วยผลร้ายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

“กล่องโฟมเป็นขยะที่เป็นพิษต่อส่งแวดล้อม เพราะต้องใช้เวลาในการย่อยสลายประมาณ 1,000 ปี อีกทั้งยังมี สารสไตรีน ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้ในขั้นตอนการผลิตและเป็นสารก่อมะเร็ง เมื่อนำมาใช้อาจจะละลายปะปนกับอาหาร ถ้ามีการปรุงอาหารด้วยน้ำส้มสายชู ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด ก็จะไปกระตุ้นให้สารพิษสไตรีนออกมามากขึ้นเช่นกัน”

การสร้างผลิตภัณฑ์สีเขียว เช่น ภาชนะจากชานอ้อย ก็เป็นอีกทางเลือกแก่ผู้บริโภคจึงเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม เพราะชานอ้อยมาจากโรงงานน้ำตาลหาได้ง่ายในประเทศไทย สามารถแก้ปัญหาเรื่องสารพิษได้ ใช้เวลาย่อยสลายเพียง 45 วัน และจะกลายเป็นปุ๋ย นอกจากนี้ยังสามารถนำเข้าไมโครเวฟและเตาอบได้ ซึ่งเป็นบรรจุภัณฑ์ที่สามารถทดแทนโฟมและพลาสติกได้

นพ.วีรฉัตร ยังกล่าวอีกว่า ในด้านสุขภาพการที่คนเรานั้นจะใช้ชีวิตแบบ กิน อยู่ รู้คิด คือการเปลี่ยนความคุ้นเคย มองข้ามความสะดวกสบายแล้วหันมามองถึงความปลอดภัย รู้จักคิดตัดสินใจก่อนเลือกซื้อ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่สามารถปฏิบัติได้ง่ายๆ เพียงอยู่ที่ตัวเรา แม้แต่การออกกำลังกายก็เช่นเดียวกัน หลายคนมักจะอ้างเสมอว่าไม่มีเวลาทั้งๆ ที่เราสามารถออกกำลังกายได้ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นขณะที่ทำงานการขยับร่างกายเพียงเล็กน้อยหรือการเดินออกไปสูดอากาศด้านนอก การเดินขึ้นลงบันไดแทนการใช้ลิฟท์ ก็เป็นการออกกำลังกาย ขณะเดียวกันยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

“เนื่องในวันสิ่งแวดล้อม อยากให้ทุกคนย้อนถามตนเองว่า พร้อมที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อสุขภาพและเพื่อรักษาสภาพแวดล้อมของเราได้หรือยัง” นพ.วีรฉัตร กล่าว

ด้านเพียงพร ลาภคล้อยมา หรือ พี่นี ผู้บริโภคหัวใจสีเขียว เล่าถึงประสบการณ์ที่ทำให้หันมาดูแลสุขภาพด้วยธรรมชาติบำบัดในชีวิตประจำวันว่า การเปลี่ยนแปลงมีจุดเริ่มต้นจากการที่ตนเองป่วยเป็นโรคมะเร็ง ในขณะเดียวกันแพทย์ผู้ให้การรักษาก็ให้คำแนะนำว่า “ต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต” โดยเปลี่ยนการบริโภคตามใจ เป็นการบริโภคอย่างมีวิจารณญาณ พยายามเลือกรับประทานอาหารที่มาจากธรรมชาติ เพราะทุกวันนี้อาหารส่วนใหญ่มาจากการผลิตที่มีการใช้สารเร่งให้เจริญเติบโตเร็ว ทำให้มีสารพิษอันตรายสะสมอยู่ในร่างกาย ทั้งนี้ มีอาหารและผลิตภัณฑ์สุขภาพมากมายให้เลือกรับประทาน แต่มักจะมีปัญหาในเรื่องราคาที่สูงกว่า ทำให้น้อยคนนักทีจะสนใจอาหารสุขภาพ

แท้จริงแล้วทุกคนสามารถหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ง่ายๆ โดยเฉพาะผู้ที่มีที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่พอจะสามารถปลูกต้นไม้ ปลูกผักหรือเลี้ยงสัตว์ได้ การได้รับประทานอาหารจากผลผลิตที่ทำขึ้นเองแบบธรรมชาติ ก็จะช่วยให้ร่างกายไม่ต้องเสี่ยงกับการได้รับสารพิษ ขณะที่ปัจจุบันยังมีแนวคิดวิธีมากมายสำหรับคนเมืองที่มีที่อยู่อาศัยไม่มาก สามารถปลูกผักรับประทานเพื่อสุขภาพ และเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้นอีกด้วย

“จงคิดไว้เสมอว่า ในแต่ละมื้อที่เรารับประทานเข้าไปเราควรเอื้อเฟื้อตนเอง เราต้องสร้างสิ่งแวดล้อมภายในตนเองให้เหมาะสมก่อนแล้วจึงไปสร้างสิ่งแวดล้อมภายนอก”

พี่นี ยังบอกอีกว่า การบริโภคของคนเราควรยึดหลัก 4 ประการ คือ 1.กินเพื่อการชำระล้าง 2.กินอาหารเพื่อการเยียวยา 3.กินอาหารเพื่อให้มีพละกำลัง และ 4.ไม่กินอาหารที่ฟอกขาว เช่น อาหารกระป๋องหรืออาหารที่ผ่านกระบวนการผลิตต่างๆ ที่มีสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

“หากสามารถยึดหลักทั้งหมดนี้ได้ การสร้างสิ่งแวดล้อมภายในก็จะเอื้อให้เราสามารถไปช่วยสิ่งแวดล้อมภายนอก และหากถ้าเราต่อสู้กับสิ่งแวดล้อมภายนอกแต่สิ่งแวดล้อมภายในบกพร่อง เราจะช่วยได้สักเท่าไหร่” เพียงพร กล่าว

ท้ายที่สุดแล้วสิ่งสำคัญของการ “กิน อยู่ รู้คิด” เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมก็คือ “การเปลี่ยนวิถีชีวิต” ใช้ชีวิตอย่างรู้คุณค่าเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมที่ดีให้คงอยู่นั่นเอง

 

เรื่องโดย : กิดานัล กังแฮ Team Content www.thaihealth.or.th

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code