“กินอาหารถูกสุขอนามัย” จ.น่าน

เรื่องง่ายที่ปลูกฝังได้จากครอบครัว

 

 

          พฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่สะอาด มีเชื้อโรคหรือสารเคมีปนเปื้อนมาในอาหาร เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประชาชนเกิดโรคอาหารเป็นพิษ หรือเกิดการเจ็บป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง หลังจากได้รับสิ่งที่ปนเปื้อนในอาหารมาอย่างต่อเนื่อง

“กินอาหารถูกสุขอนามัย” จ.น่าน

 

          ในปี 2550 จังหวัดน่าน พบว่ามีสถานการณ์ของโรคที่เกิดจากอาหารไม่ว่าจะเป็น 1.โรคการติดเชื้อจากสัตว์สู่คน (streptococcus suis) ทำให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบเฉียบพลัน 2.อาหารเป็นพิษหรือเสียชีวิตจากการติดเชื้อ botulism 3.โรคอุจจาระร่วง และ 4.โรคอาหารเป็นพิษ  ซึ่งล้วนมีสาเหตุเกิดจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่ปลอดภัย ประกอบกับชาวบ้านในพื้นที่ ต.ม่วงตึ๊ด อ.ภูเพียง จ.น่าน ยังมีวัฒนธรรมประเพณีและค่านิยมที่มีผลต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารไม่ปลอดภัย เช่นเดียวกันกับบริบทโดยรวมของจังหวัด โดยเฉพาะการบริโภคเมนูอาหารจาก “เนื้อดิบ” ของชาวบ้าน ทำให้มีสถิติผู้มาใช้บริการในสถานีอนามัยม่วงตึ๊ดด้วยโรคอุจจาระร่วงและอาหารเป็นพิษอย่างต่อเนื่อง

 

          และเมื่อข่าวการรับประทานหน่อไม้ปี๊บ และเห็ดพิษจนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากที่เกิดขึ้นที่ อ.บ้านหลวง จ.น่าน ทำให้ แกนนำชุมชนในพื้นที่ และ ศูนย์การแพทย์ชุมชนม่วงตึ๊ด จึงร่วมกันจัดทำ “โครงการการพัฒนาระบบการเฝ้าระวังโรคติดต่อทางเดินอาหารโดยชุมชนมีส่วนร่วม” ขึ้นตามแนวทางอาหารปลอดภัย “กิ๋นดี มีสุก” ของ สำนักงานสาธารณสุขอำเภอภูเพียง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการบริโภคที่ถูกต้อง โดยเฉพาะการเตรียมอาหารในงานเลี้ยงต่างๆ ของชุมชนให้มีความปลอดภัย โดยได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

 

          นายสมชาย ศิริมาตร สาธารณสุขอำเภอภูเพียง เปิดเผยว่า การพัฒนาระบบการเฝ้าระวังโรคติดต่อทางเดินอาหารของชุมชนม่วงตึ๊ด เป็นการเฝ้าระวังในเรื่องของการเตรียมการประกอบอาหารให้ถูกสุขลักษณะและถูกหลักอนามัย เพื่อป้องกันการระบาดของโรค ซึ่งทางสาธารณสุขอำเภอได้นำแนวคิดนี้มาขยายผลออกไปเพื่อให้เกิดการเฝ้าระวัง ป้องกัน ครอบคลุมไปจนถึงเรื่องของการผลิตวัตถุดิบและการแปรรูปอาหารของประชากรในอำเภอภูเพียง เพื่อให้พืช ผัก หรือเนื้อสัตว์ที่ผลิตปลอดภัยจากเชื้อโรค สารพิษ และสารเคมี

 

          โครงการนี้นอกจากจะทำให้ชาวบ้านได้บริโภคอาหารที่ปลอดภัยแล้ว ยังก่อให้เกิดความร่วมมือร่วมใจในการทำกิจกรรมต่างๆ ในชุมชน ที่สำคัญยังไปเชื่อมโยงกับโครงการด้านสุขภาพอื่นๆ เช่น การงดเหล้าในงานบุญ คนที่มาร่วมงานได้กินอาหารที่ปลอดภัย แล้วไม่ต้องเมาเหล้าขี่รถมอเตอร์ไซค์ อุบัติเหตุก็ลดลง ค่าใช้จ่ายของเจ้าภาพในการจัดงานก็ลดลงไปถึง 3 เท่า สิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ก็คือ การได้วัฒนธรรมทางสังคมกลับคืนมา เกิดการฟื้นตัวของวัฒนธรรมการรวมกลุ่มที่เคยหายไปจากการพัฒนาเป็นชุมชนเมือง” นายสมชายระบุ

 

          โครงการนี้ได้พัฒนาระบบการเฝ้าระวังโรคติดต่อทางเดินอาหารฯ ด้วยการสร้างกลุ่ม “ผู้พิทักษ์อาหาร” ขึ้นมาในแต่ละชุมชน โดยมีหน้าที่ในการดูแลกำหนดพื้นที่การประกอบอาหาร การจัดเตรียมอาหาร และข้าวของเครื่องใช้ในการจัดงานเลี้ยงต่างๆ ให้มีความสะอาดปลอดภัย เช่น ภายในงานห้ามผู้ที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวกับการปรุงอาหารเข้าไปในพื้นที่ประกอบอาหาร มีการแยกเขียงประกอบอาหารแต่ละชนิดไม่ให้ใช้ปนกัน จานชามที่ล้างแล้วต้องมีผ้าคลุมป้องกันสิ่งสกปรก เป็นต้น

 

          และยังก่อให้เกิดระบบ “การขออนุญาตประกอบเลี้ยงอาหาร” ขึ้นในชุมชน โดยเจ้าของงานจะต้องแจ้งรายละเอียดต่างๆ ของงานต่อผู้นำชุมชนและเจ้าหน้าที่สาธารณสุข จากนั้นข้อมูลต่างๆ ก็จะถูกส่งต่อไปยังกลุ่มผู้พิทักษ์อาหารในแต่ละชุมชนเพื่อเข้าไปช่วยเหลือดูแลต่อไป จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของกิจกรรมนี้ก็คือ “การกักเก็บตัวอย่างอาหาร” โดยจะมีการเก็บตัวอย่างอาหารทั้งหมดที่จัดเลี้ยงเป็นเวลา 7 วัน เพื่อเฝ้าระวังโรคและทำการรักษาได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และทันท่วงทีหากเกิดการระบาดของโรค

 

          นายเสกสันติ์ เวียงนาเกริกโกวิท หัวหน้าโครงการ กล่าวว่า กิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นนี้เป็นผลมาจากการจัดเวทีระดมความคิดร่วมกันของชาวบ้าน ทบทวนปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งในอดีตและปัจจุบันของชุมชนเพื่อหาทางออกร่วมกัน หลังจากนั้นจึงได้พาแกนนำชาวบ้านไปศึกษาดูงานที่อำเภอบ้านหลวง ซึ่งเคยเกิดปัญหาอย่างรุนแรงมาก่อน ทำให้ชาวบ้านเกิดความตระหนักและมองว่าปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องที่ใกล้ตัว

 

          วัตถุประสงค์ของโครงการนี้ นอกจากจะพัฒนาให้เกิดระบบการเฝ้าระวังโรคของชุมชนแล้ว ยังมีเป้าหมายที่จะสร้างแกนนำนักสื่อสารสุขภาพ ซึ่งเป็นผู้นำชุมชน กลุ่มแม่บ้าน อาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน เพื่อให้เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ถูกต้อง และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ อยากให้รูปแบบ มาตรการของกระบวนการเฝ้าระวังที่เกิดขึ้นในการจัดเลี้ยงอาหารในงานต่างๆ นั้น ได้กลายไปเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของคนในชุมชนอย่างแท้จริง ให้คนที่มาร่วมทำงานหรือชาวบ้านจากที่อื่นๆ ที่มาเห็นตัวอย่าง นำรูปแบบการประกอบอาหารที่ปลอดภัยกลับไปใช้ในครัวเรือนของเขาเอง” นายเสกสันติ์ระบุ

 

          นางกัญญารัตน์ ทองรอบ, นางอัมพร ขัดเงางาม อสม.จากบ้านป่าหัด และ นางชดา ทองอินต๊ะ อสม.จากบ้านร้องตอง ต.ม่วงตึ๊ด เล่าถึงการจัดเลี้ยงของชุมชนในอดีตว่า ทำตามสะดวก เขียงก็ใช้ร่วมกัน แต่พอมีโครงการนี้ก็ทำให้การจัดงานดูดีมีระเบียบ และยังเป็นหน้าเป็นตาให้กับเจ้าของงานด้วย

 

          เราก็จะเข้าไปจัดระเบียบใหม่ มีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบของชาวบ้านที่มาช่วยงานกันอย่างชัดเจน ไม่ปะปนกัน เช่น คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการปรุงอาหารห้ามเข้ามาในเขตประกอบอาหาร ถ้าจะมาช่วยก็ต้องทำตามกฎ โดยใส่ผ้ากันเปื้อน สวมหมวก คลุมผม ล้างมือให้สะอาด”  นางกัญญารัตน์ระบุ

 

          เจ้าภาพส่วนใหญ่ก็จะบอกว่าดี ทำแล้วดูสะอาดสะอ้าน แขกที่มางานก็ชอบ” นางชดากล่าว

 

          นางสาวดวงพร เฮงบุณยพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการสร้างสุขภาวะในพื้นที่และชุมชน สสส. กล่าวว่า แนวคิดของชุมชนที่ต้องการแก้ปัญหาเรื่องโรคติดต่อทางเดินอาหาร เป็นแนวทางการทำงานที่ทำให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็ง และเกิดความสามารถในการจัดการตนเอง เพราะการจัดการที่มีความยั่งยืนจะต้องอยู่บนฐานวัฒนธรรมและความเข้มแข็งของชุมชน ไม่ให้มีการจัดเลี้ยงอาหารดิบ

 

          แผนงานของสำนักฯ ในปี 2553 จะเน้นไปที่การขับเคลื่อนให้เกิดตำบลน่าอยู่ โดยได้เริ่มดำเนินการไปแล้วประมาณ 200 ตำบล มีศูนย์การเรียนรู้กระจายไปยังภาคต่างๆ ถึง 8 ศูนย์ ซึ่ง สสส.ก็จะทำงานเรื่องนี้ร่วมกับภาคีเครือข่ายจากหลายภาคส่วน เพื่อผลักดันให้สิ่งดีๆ เหล่านี้ได้เกิดขึ้นและขยายผลการดำเนินงานออกไปทั่วประเทศ” นาวสาวดวงพรกล่าวสรุป

 

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

 

 

update:14-06-53

อัพเดทเนื้อหาโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่

Shares:
QR Code :
QR Code