กรมธรรม์ ชั่งโลขาย

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ โดย ชัยณรงค์ กิตินารถอินทราณี


ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ


กรมธรรม์ ชั่งโลขาย thaihealth


แอบดูโมเดล "สวัสดิการ 50 บาท" ที่สามารถรักษาได้สารพัดตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ ผู้คนที่พากันจับกลุ่มตามบริเวณต่างๆ  อาจทำให้หลายคนที่ผ่านหน้า  "วัดทุ่งหก" เข้าใจไปได้ว่า มีบ้านนี้กำลังมีงานบุญ ก็ไม่เชิง, เพราะข้าวของที่บรรดา พ่อแก่แม่เฒ่าพากันหอบหิ้วกันมาคนละ ถุง  สองถุง หรือบางคนถึงขนาดโยนใส่รถเข็นขึ้นมากองเบ้อเร้อ ก็คือ ถุงขยะ ที่ถูกคัดแยกตามชนิดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว "ถ้าแยกมาจะได้ราคาดีกว่าเหมาถุง ขายครับ" ใครบางคนชี้ให้ดูกองผลงาน  "ปิ๊กมาเตี่ยมบุญ" กิจกรรมประจำเดือนของ ชาวบ้านทุ่งหก


ส่วนที่กำลังล้อมวงกันอยู่ตามมุมต่างๆ ของวัด ไม่ว่าจะเป็น จักสาน ตัดตุง ทำสวยกาบ (เครื่องสักการะพระพุทธรูปของชาวล้านนา) เลี้ยงไส้เดือนดิน หรือการแปรรูปขยะ นั้นถือเป็นกิจกรรมประจำวันของ เหล่าสมาชิก "ปิ๊กมาดี" ที่ทำต่อเนื่องกันมากว่า 4 ปีแล้ว


ทั้งหมด ถือเป็นทั้งรายได้รายวัน และหลักประกันรายปี สำหรับเหตุเจ็บป่วย หรืออุบัติเหตุฉุกเฉินที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ


ยิ่งไปกว่านั้น "กรมธรรม์" เล่มนี้ มีค่าสมาชิกเพียงปีละ 50 บาท เท่านั้น!


"ปิ๊กมา" รักษาทุกโรค


"ปิ๊กมาดี" เป็นภาษาเหนือ แปลว่า กลับมาดีดังเดิม หรือแต่เดิมนั้นเคยดี และยังเป็นแนวคิดสำคัญที่ทำให้ นักวิเคราะห์นโยบาย และ แผนจาก อบต.แม่สันอย่าง กฤษฎา เทพภาพและเจษฎา ปาระมี สมาชิก อบต.วอแก้ว  ร่วมกันทำ ศูนย์ประสานความช่วยเหลือ  ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาสในชุมชน บ้านทุ่งหกขึ้นมาเมื่อ 4 ปีก่อน


บ้านทุ่งหก ตั้งอยู่ที่ หมู่ 5 ต.วอแก้ว อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง เป็นชุมชนขนาด 258 หลังคาเรือน ที่เผชิญสถานการณ์ "สังคมสูงวัย" ไม่ต่างจากชุมชนตามต่างจังหวัดทั่วประเทศ ภาพ "คนแก่" นั่งเฉยๆ อยู่กับบ้านกลายเป็นของชินตา พอๆ กับปัญหาขยะในชุมชนที่ไม่ได้มีระบบการจัดการที่ดีทำให้ คนทุ่งหกผลิตขยะมากถึง 630 กิโลกรัมต่อวัน


ทั้งคู่มองตรงกันถึงปัญหา และความเรื้อรังที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง สภาพแวดล้อมไม่พึงประสงค์ของชุมชน ผู้สูงอายุที่อยู่ติดบ้านทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่ออาการหดหู่ ซึมเศร้า รวมทั้งปัญหาสุขภาพจนไปถึงการเป็นผู้ป่วยติดเตียง  การดึงเอาศักยภาพที่มีอยู่ในตัวผู้สูงอายุเหล่านี้จึงกลายเป็นเป้าหมายหลัก โดยใช้ความรื่นรมย์ในอดีตเป็นตัวขับเคลื่อน  "ผู้สูงอายุมักจะเห็นภาพความดีงามในอดีต เราก็พยายามทำความเข้าใจ และสื่อสารกับเขาเพื่อในบรรยากาศของชุมชนในวันเก่าๆ กลับคืนมา" ภาพวันเก่าๆ ที่กฤษฎาอธิบายก็คือ การรวมกลุ่มทำกิจกรรม โดยเขาใช้การคัดแยกขยะมาเป็นจุดเชื่อมโยง ซึ่งนำไปสู่การดูแลกันและกันในเวลาต่อมา ถึงจะดูเป็นเรื่องยากลำบากในช่วงแรก เพราะความแตกต่างหลากหลายของผู้คนในชุมชน แต่เมื่อเรียนรู้ทำความเข้าใจกัน ความเปลี่ยนแปลงที่หวังเอาไว้ก็เริ่มเห็นผล เจษฎายกตัวชี้วัดเรื่องความสามัคคีขึ้นมาเปรียบเทียบ จาก "ชุมชนต่างคนต่างอยู่" ไม่ว่าจะประชุม หรือกิจกรรมในหมู่บ้านที่คนมาร่วมมีมากสุดไม่ถึง 30 คน กลายมาเป็นวันนี้ เวทีประชาคมมีคนเข้าฟังไม่ต่ำกว่า 200 คน ส่วนปริมาณขยะก็ลดลงเหลือเพียงวันละ ไม่เกิน 200 กิโลกรัมเท่านั้น


"ถ้าไม่แยกมาเราก็ซื้อเหมา 1.50 บาทต่อกิโลกรัม เขาก็จะเกิดการเปรียบเทียบกันในหมู่เพื่อนทำไมคนนี้ได้ราคาดีกว่าคนนั้น เลยบังคับต้องให้แยกขยะไปโดยปริยาย" สมาชิก อบต.วอแก้ว ในฐานะประธานศูนย์ปิ๊กมาดีบอก เงินทุนหมุนเวียนจากการซื้อ-ขายขยะที่ทางกลุ่มทำได้กว่า 2 แสนบาทนั้นก็ย้อนกลับไปเป็นสวัสดิการดูแลสมาชิกในกลุ่มเอง ไม่ว่าจะเจ็บป่วย หรือเสียชีวิต โดยมีข้อแม้ว่า สมาชิกทุกคนจะต้องเสียค่าสมาชิกรายปี ปีละ 50 บาท


…มีข้อแม้ว่า ต้องจ่ายเป็น "ขยะ" เท่านั้น  โดยภายใน 1 ปี ทางศูนย์จะเปิดรับขยะ 4 ครั้ง ช่วงเดือนพฤศจิกายน-มีนาคม แต่ละคนต้องนำขยะมาขายสะสมให้ได้ 50 บาท สวัสดิการที่สมาชิกจะได้รับก็คือ เงินสนับสนุนกรณีเจ็บป่วยต้องนอนโรงพยาบาล 100 บาทต่อคืน (ไม่เกิน 10 คืน) เงินช่วยเหลือกรณีเสียชีวิต 500 บาท ถึงจะดูเป็นเงินจำนวนไม่มากเท่าไหร่ แต่ผลที่ได้นั้นมีแต่ "ได้" กับ "ได้"


คนป่วย ก็รู้สึกได้รับการดูแล ไม่ถูกทอดทิ้ง คนไม่ป่วย ก็รู้สึกได้รับความสุขจากการเป็นผู้ให้ เรื่องนี้สอดคล้องกับที่ เข็มเพชร เลนะพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการสำนักสร้างสรรค์โอกาสและนวัตกรรม (สำนัก 6) จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. เคยให้นิยามถึงการสร้างเสริมสุขภาวะนั้นไม่ได้หมายความแค่ด้านร่างกายเพียงอย่างเดียว หากยังรวมทั้งสภาพจิตใจ และสังคมแวดล้อมด้วย


"แค่เราเอาหัวใจใส่ลงไป ทุกอย่างก็จะกลับมาครับ" กฤษฎาเผยเคล็ดลับด้วยรอยยิ้ม


เปลี่ยนคน ชุมชนก็เปลี่ยน


นอกจากการจัดการขยะจนกลายเป็นกองทุนสวัสดิการที่นำมาอุดหนุนดูแลสมาชิกในกลุ่มที่เติบโตจากวันแรกที่ไม่เกิน 40 คน มาเป็น 400 ชีวิตในวันนี้ เงินทุนก้อนนี้ยังถูกนำไปต่อยอดกลายเป็นกิจกรรมรูปแบบต่างๆ ที่ทำให้ผู้คนในชุมชนช่วยดูแลกันและกันได้มากขึ้นจนกลายเป็นเครือข่ายที่แข็งแรงในที่สุด


มันยังหมายถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับทุกๆ คนในชุมชนด้วย อย่างรอยยิ้มของ บัวจันทร์ กัลยาวัย 56 ปี สมาชิกจากหมู่ 7 บ้านน้ำจำ ที่มัก "หาบขยะ" มาร่วมบุญทุกครั้งที่มีโอกาส แน่นอนว่า นั่นเป็นเพราะความสุขที่ได้แบ่งปันให้กับคนอื่นๆ ในชุมชน เมื่อก่อน เธอยอมรับว่า ที่บ้านก็ใช้ชีวิตไม่ต่างจากครอบครัวอื่นๆ ในหมู่บ้าน ที่ย้านทำเกษตร ลูกๆ แต่งงานแยกย้ายไปทำงานต่างถิ่น และทิ้งหลาน 2 คนเอาไว้ให้เป็นเพื่อน


โชคไม่ดีนัก ที่สามีของบัวจันทร์ป่วยทำให้ไม่สามารถไปไร่ได้เหมือนเมื่อก่อน ภาระทุกอย่างที่บ้านจึงตกอยู่กับเธอเพียงคนเดียว ความเครียดก็เพิ่มขึ้น และเริ่มมีอาการป่วยรบกวน


จนเมื่อได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์ปิ๊กมาดีแห่งนี้ การมีเพื่อนวัยเดียวกันทำให้ได้แลกเปลี่ยน แบ่งปันถึงสารทุกข์สุกดิบซึ่งกันและกัน สุขภาพจิตก็ดีขึ้น แถมเธอยังชักชวนสามี และหลานให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมต่างๆ ที่กลุ่มจัดขึ้นด้วย


ขณะที่ สมาน พองเกตุ ขาประจำกลุ่มจักสาน ปิ๊กมาเปิ้ง ที่ถึงแม้จะเดินเหินไม่สะดวกจากอาการกระดูกทับเส้น แต่หนุ่มวัย 71 กะรัตรายนี้ ก็ยอมรับว่า ถ้าวันไหนไม่ได้มาเจอเพื่อนๆ ที่กลุ่มจักสาน มันเหมือนขาดอะไรไปสักอย่างในชีวิต ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากรายได้วันละ 30 บาทต่อวันที่ทางกลุ่มจัดสรรให้แล้ว อาการซึมเศร้าอยู่กับบ้านทำนอง ไก่ขันก็เหงาแบบเมื่อก่อน เรียกว่า หายเป็นปลิดทิ้ง


ส่วนสายรำ ปิ๊กมารำอย่าง บุญสาย คำจริยา และมาลัย เทพภาพ รุ่นใหญ่ประจำวงรำต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า กิจกรรมนันทนาการเหล่านี้นอกจากจะช่วยให้ร่างกายกระฉับกระเฉงแล้ว ยังช่วยให้จิตใจเบิกบานได้ทุกครั้งที่มาร่วมขบวนรำกับเพื่อนๆ ที่มีไม่ต่ำกว่า 20 ชีวิตในกลุ่ม


หรือแม้แต่ สมบูรณ์ บุญมา ที่ติดเหล้า และถูกมองว่าเป็นคนล้มเหลวมาตลอดชีวิตก็พยายามยืนหยัด และให้สัญญา "ให้เวลาผมหน่อยนะ ผมพยายามอยู่" อย่างน้อยการเอาแรงแลกเงินจากการเป็นลูกมือขนขยะไปขายให้กับคนในชุมชน ก็เป็นเหมือนหลักฐานชั้นต้นว่า เขาเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ


นอกจากนั้น ทางศูนย์ยังมีความร่วมมือเชื่อมโยงไปยังหมู่บ้านข้างเคียงอย่าง บ้านทุ่งกล้วย หรือหลายๆ พื้นที่ใกล้เคียงเริ่มมีการนำรูปแบบการจัดการ และโครงสร้างการรวมกลุ่มไปปรับใช้กับพื้นที่ของตนเองบ้างแล้ว ซึ่งทั้งเจษฎา และกฤษฎาก็เชื่อว่า หลังจากนี้จะเป็นการก้าวไปข้างหน้าเพื่อสร้างความยั่งยืนแล้ว


เยาวชน และคนรุ่นใหม่อีกกว่า 40 ชีวิตในกลุ่ม ก็คือตัวแทนของวันพรุ่งนี้


…เพื่อให้ภาพคุณงามความดีที่เคยมีในอดีตได้หวนกลับคืนสู่ชุมชนอย่างแท้จริง


กิจกรรม 9 ปิ๊ก


เพื่อให้สมกับการเป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ที่ "ดีต่อใจ" สำหรับทุกคนในชุมชน ภายในศูนย์ปิ๊กมาดีจึงได้มีกิจกรรมหลักแยกออกเป็น "9 ปิ๊ก" ด้วยกัน


ศูนย์ฮับของเก่าปิ๊กมาดี เป็นศูนย์รับขยะจากครัวเรือนที่ผ่านการคัดแยกแลกกับสวัสดิการปิ๊กมาสุข ปิ๊กมาเตี่ยมบุญ กิจกรรมเก็บขยะตามสถานที่สาธารณะ เพื่อบันทึกลงในสมุดบันทึกความดี โดยทางศูนย์จะมีการประกาศความดี และมอบรางวัลในวาระสำคัญต่างๆ


ปิ๊กมาอุ่น กลุ่มอาชีพตัดเย็บผ้าห่มทำมือ เพื่อจำหน่าย และแจกจ่ายให้กับผู้ยากไร้ในพื้นที่


ปิ๊กมาเปิ้ง กลุ่มจักสาน ตัดตุง สวยกาบ ไส้เดือนดิน และแปรรูปขยะสร้างมูลค่า


ปิ๊กมาม่วน/รำ กลุ่มนันทนาการสร้างความสุข ที่สามารถรับงานแสดงในโอกาสต่างๆ ได้


ปิ๊กมาสุข กองทุนสวัสดิการดูแลสมาชิกภายใต้แนวคิด 20 คนดูแลคนป่วย 10 คน ช่วยคนตาย


ปิ๊กมาเก่ง กลุ่มผู้สูงอายุที่กลับมาเรียนหนังสือโดยได้รับความร่วมมือจาก กศน.อ.ห้างฉัตร


ปิ๊กมาฮัก กลุ่มครูอาสาที่ไปสอนหนังสือแก่เด็กๆ ในชุมชนช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ และปิดภาคเรียน


ปิ๊กมายิ้ม กิจกรรมสืบสานประเพณีของชุมชนเพื่อเป็นการสร้างสรรค์สิ่งดีงามที่เคยหายไปให้กลับมา

Shares:
QR Code :
QR Code