ไมเกรน ภัยเงียบชีวิตคนทำงาน
ที่มา : เว็บไซต์คมชัดลึกออนไลน์
แฟ้มภาพ
อาการปวดศีรษะไมเกรน โรคยอดฮิตของคนวัยทำงาน เป็นอาการที่เกิดจากระบบประสาทส่วนกลางทำงานผิดปกติ สามารถเกิดได้หลายรูปแบบ สาเหตุของไมเกรน เช่น ความเครียดสูง ฮอร์โมน การพักผ่อนไม่เพียงพอ อากาศเปลี่ยนแปลง ความไวต่อแสงจ้า เสียงดัง และกลิ่นฉุน ซึ่งผู้ป่วยสามารถบรรเทาอาการได้ โดยหลีกเลี่ยงสิ่งเร้าที่ก่อให้เกิดอาการปวด เช่น นอนหลับให้เพียงพอประมาณ 6-8 ชั่วโมงต่อวัน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ผศ.นพ. สุรัตน์ ตันประเวช ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทและสมอง คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน ส่งผลต่อทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะคนในวัยทำงานที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันและความกดดันอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้องเผชิญกับความเครียดสะสม ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพในการทำงานที่ลดลง รวมไปถึงบั่นทอนสุขภาพกายและใจและยังเป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดโรคยอดฮิตของคนวัยทำงานอย่าง "โรคไมเกรน" โรคที่ไม่ใช่แค่อาการปวดหัวทั่วไปอย่างที่ทุกคนคิด แต่เป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน และเป็นอุปสรรคต่อการทำงานอย่างแท้จริง ซึ่งการมีความรู้และความเข้าใจอย่างถูกต้อง จึงเป็นพื้นฐานสำคัญของการเริ่มต้นสังเกตตนเองและบุคคลใกล้ชิด ให้ห่างไกลจากโรคไมเกรนได้ยิ่งขึ้น
ทุกวันนี้ 'โรคไมเกรน' เป็นเทรนด์โรคทางสมองที่กำลังมาแรง ในกลุ่มคนทำงานที่เผชิญกับสิ่งกระตุ้น เช่น ความเครียดสูง การนอนผิดเวลา การเดินทางที่ต้องเผชิญกับสภาวะอากาศแปรปรวน ในทุกสังคมทั่วโลก โดยจะพบผู้ป่วยอยู่ในช่วงอายุระหว่าง 25-30 ปี มากที่สุด และมักพบในผู้ป่วยเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ด้วย 2 ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดโรคคือ ร้อยละ 10-20 สืบเนื่องมาจากพันธุกรรมที่มีประวัติของคนในครอบครัวที่เป็นไมเกรนอยู่แล้ว และกว่าร้อยละ 80-90 เกิดจากพฤติกรรมสิ่งแวดล้อมที่สมองตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เป็นตัวกระตุ้น ทำให้การรับรู้สึกถึงระบบประสาทเกิดความเปลี่ยนแปลงไวกว่าคนปกติ (Hypersensitivity)
เช่น ความเครียด ฮอร์โมน การพักผ่อนไม่เพียงพอ อากาศเปลี่ยนแปลง ความไวต่อแสงจ้า เสียงดัง และกลิ่นฉุน ล้วนเป็นสิ่งกระตุ้นชั้นยอดต่ออาการปวดศีรษะ รวมไปถึงการเคลื่อนไหว เนื่องจากการเคลื่อนไหวจะกระตุ้นให้อาการปวดศีรษะ เลวร้ายมากขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้โรคไมเกรนยังมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ได้แก่ การมองเห็นผิดปกติ คลื่นไส้ อาเจียน หงุดหงิดง่าย ซึ่งหากยิ่งซ้ำเติมจะยิ่งทำให้ผู้ป่วยมีอาการแย่ลงไปอีก โดยระยะของโรคไมเกรนสามารถจำแนกได้ด้วยระดับความปวดศีรษะของโรคไมเกรนจะแบ่งเป็น 4 ระยะ ดังนี้
1.ระยะนำ (Prodrome) คือการบอกเหตุก่อนเริ่มมีอาการปวดศีรษะประมาณ 1-2 วัน โดยผู้ป่วยจะมีการเปลี่ยนแปลงทางระบบสมองที่ควบคุมร่างกาย เช่น ตัวบวม ปวดเมื่อยตามตัว อารมณ์ รวมถึงพฤติกรรมและความอยากอาหารมากกว่าปกติ
2.ระยะอาการเตือน (Aura) คือการเตือนก่อนเกิดอาการปวดศีรษะ ประมาณ 5-60 นาที แต่จะไม่เกิดกับผู้ป่วยทุกคน เป็นอาการที่เกิดจากระบบประสาทส่วนกลางทำงานผิดปกติ สามารถเกิดได้หลายรูปแบบ เช่น มองเห็นแสงกะพริบๆ แสงซิกแซ็ก มองเห็นเป็นเส้นคลื่น หรืออาการที่เกิดจากความรู้สึก การเคลื่อนไหว กล้ามเนื้ออ่อนแรง รู้สึกชาที่มือหรือเท้า การพูดลำบาก พูดไม่ชัด ซึ่งอาการเหล่านี้จะค่อยๆ เริ่มเกิดขึ้น และจะยังคงมีความรู้สึกนี้เป็นชั่วโมง หรือหลายชั่วโมงก็ได้หากมีหลายอาการ
3.ระยะปวดศีรษะ (Headache) คือผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะด้านใดด้านหนึ่ง โดยมีอาการปวดแบบตุบๆ ตามจังหวะหัวใจเต้น มักจะมาพร้อมกับอาการคลื่นไส้อาเจียน และผู้ป่วยบางรายอาจไวต่อแสงหรือเสียงดัง ซึ่งอาการปวดศีรษะอาจยาวนาน 4-72 ชั่วโมง
4.ระยะหลังจากปวดศีรษะ (Resolution) หรือระยะพัก คืออาการปวดศีรษะและอาการอื่นๆ จะค่อยๆ ลดลง ในระยะนี้ผู้ป่วยอาจจะมีความรู้สึกเหนื่อยล้า ซึ่งอาจกินระยะเวลาไม่กี่วันหลังจากหายปวดศีรษะ
อีกทั้ง อาการปวดยังสามารถแบ่งเป็นชนิดย่อย ตามระยะการดำเนินของโรคไมเกรนได้อีก 2 กลุ่มได้แก่ การเกิดไมเกรนเป็นครั้งคราว คืออาการผู้ป่วย ธรรมดาทั่วไปจะปวดน้อยกว่า 15 วันต่อเดือน ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งเรียกว่า การเกิดไมเกรนแบบเรื้อรัง คือ อาการปวดนานมากกว่าหรือเท่ากับ 15 วันต่อเดือน ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้จะต้องพิจารณาตนเอง หลีกเลี่ยงสิ่งเร้าที่ก่อให้เกิดอาการมากที่สุด
ดังนั้นทางการแพทย์แผนปัจจุบันการรักษาไมเกรนให้หายขาด ยังเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาค้นคว้ากันต่อไป ซึ่งจุดมุ่งหมายในการรักษาจึงอยู่ที่การรับมือกับอาการปวด ไม่ว่าจะด้วยการรักษาทั้งแบบใช้ยาและไม่ใช้ยา หรือป้องกันอาการด้วยการหลีกเลียงจากสิ่งเร้า ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทุกข์ทรมานจากความปวดน้อยลง และประกอบกิจวัตรต่างๆ ทำงานได้ตามปกติ ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การปวดเรื้อรัง คือหมั่นสังเกตตัวเองให้ดี รวมทั้งพิจารณาจากประสบการณ์ที่ผ่านมา นอนหลับให้เพียงพอประมาณ 6-8 ชั่วโมงต่อวัน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จดบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับความปวด อาทิ วัน เวลา ระยะเวลา ลักษณะอาการปวด อาหารที่รับประทาน รวมถึงความ ผิดปกติ ต่างๆ
อีกทั้งหากผู้ป่วยมีอาการมากกว่าปวดศีรษะจนผิดสังเกต เช่น มีไข้สูง ตาเห็นภาพซ้อน ตาเหล่ ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด แบบนี้ไม่ใช่ไมเกรนแน่ๆ แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นความผิดปกติทางระบบประสาท หรืออาการปวดศีรษะชนิดที่แปลกออกไปแบบที่ไม่เคยปวดมาก่อน เช่น ปวดต่อเนื่องยาวนานไม่ดีขึ้นแม้ใช้ยา แขนขาอ่อนแรง ชาครึ่งซีก พูดไม่ออก ถ้ามีอาการแบบนี้ต้องรีบไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วนอย่าปล่อยทิ้งไว้