‘ไทย-ลาว’รับมือโรคอหิวาต์สุกร ระบาดหนักในจีน
ที่มา : แนวหน้า
แฟ้มภาพ
'ไทย-ลาว' ระดมรับมือโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรระบาดหนักในจีน
นายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ เป็นประธานเปิดการประชุมร่วมคณะกรรมการพัฒนาปศุสัตว์ไทย-ลาว ครั้งที่ 15 และการประชุมทวิภาคีด่านกักกันสัตว์ไทย-ลาว ครั้งที่ 8 ที่ จ.กาญจนบุรี โดยมี ดร.สีทอง พิผกาวง เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายลาว ซึ่งในที่ประชุมผู้แทนจากลาวสอบถามถึงการเตรียมเฝ้าระวังและเผชิญโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (AFS) ระบุว่า ไทยได้ดำเนินการแล้ว ผู้แทนจากลาวจึงขอศึกษามาตรการที่ไทยวางไว้ไปเป็นต้นแบบใช้ในลาว เนื่องจากมีความกังวลว่า โรค AFS ซึ่งกำลังระบาดอยู่ในจีนจะแพร่เข้ามาถึงลาวซึ่งมีพรมแดนติดกัน ซึ่งไทยเตรียมชุดตรวจยืนยันโรค (Test Kit) ให้ลาวนำไปใช้ อีกทั้งจะมีการรายงานภาวะโรคระบาดฉุกเฉิน ทำให้สามารถป้องกันการระบาดของโรคจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่ง การประสานงานในการตรวจปล่อยสินค้าปศุสัตว์ที่ด่านกักกันสัตว์ของทั้งสองประเทศ ซึ่งช่วยลดปัญหาการเกิดโรคระบาดจากการลักลอบเคลื่อนย้ายสัตว์ตามแนวชายแดน ทั้งนี้ การช่วยเหลือในการป้องกันไม่ให้โรค AFS แพร่เข้ามาในลาว จะเป็นการป้องกันไม่ให้โรคนี้แพร่เข้ามาในไทยโดยง่าย เนื่องจากที่ตั้งของประเทศลาวกั้นระหว่างจีนกับไทยอยู่
ทั้งนี้ รัฐบาลจีนกำลังเร่งควบคุมโรค AFS ทั้งเพื่อไม่ให้เชื้อแพร่กระจายไปทั่วประเทศรวมถึงลุกลามยังประเทศอื่นๆ ในเอเชียได้ เนื่องจากเป็นโรคติดต่อร้ายแรงจากเชื้อไวรัส เมื่อสุกรติดเชื้อแล้ว ระยะฝักตัวของโรคสั้นมาก มีอัตราการตายเกือบ 100% จึงให้เกษตรกรหมั่นสังเกตอาการของสุกรที่เลี้ยงเนื่องจากบางรายเข้าใจผิดว่าโรคอหิวาต์แอฟริกาเป็นโรคเดียวกับไข้หวัดหมู ซึ่งไข้หวัดหมู (Swine flu) เกิดจากเชื้อไวรัสก่อให้เกิดโรคทางระบบเดินหายใจของสุกร สุกรที่ป่วยจะมีอาการไอ หายใจลำบาก มีน้ำมูก หนังตาบวมแดง และ ไข้สูง เป็นต้น โดยมีอัตราการป่วยสูงแต่อัตราการตายต่ำ (1-4%) การติดต่อในสุกรสามารถติดต่อได้โดยทางตรงจากการสูดหายใจเอาละอองที่มีเชื้อไวรัสจากสุกรที่ป่วยเข้าไปหรือทางอ้อมจากการสัมผัส ยานพาหนะ หรืออุปกรณ์เครื่องมือที่มีการปนเปื้อนของเชื้อไวรัส
ปัจจุบันมีรายงานพบเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ในสุกรอยู่ 3 สายพันธุ์หลักๆ ได้แก่ H1N1 , H3N2 และ H1N2 ส่วนโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่ติดต่อร้ายแรงในสุกร โดยมีสุกรป่าเป็นแหล่งรังโรคและมีเห็บอ่อนเป็นพาหะนำโรค โรคนี้เป็นโรคประจำถิ่นในอนุภูมิภาคซาฮาราของทวีปแอฟริกา ประเทศซาดิเนียของทวีปยุโรป ต่อมาพบการระบาดของโรคในประเทศจอร์เจีย ประเทศอาเซอร์ไบจัน ประเทศอาร์เมเนีย สหพันธรัฐรัสเซีย และล่าสุดที่สาธารณรัฐประชาชนจีน
โดยโรคนี้เป็นโรคสัตว์แปลกถิ่นสำหรับประเทศไทยรวมทั้งประเทศในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ ถึงแม้ว่าโรคนี้จะไม่ใช่โรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน แต่ก็ถือว่าเป็นโรคที่สามารถส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรสูง เนื่องจากหากมีการระบาดของโรคนี้ในประเทศแล้วจะกำจัดโรคได้ยาก เพราะในปัจจุบันนี้ยังไม่มีวัคซีนในการป้องกันโรค ในขณะที่เชื้อไวรัสที่ก่อโรค มีความทนทานต่อสิ่งแวดล้อมสูง สุกรที่หายป่วยแล้วจะเป็นพาหะของโรคได้ตลอดชีวิตและยิ่งกว่านั้นโรคนี้เป็นโรคที่มีความความรุนแรงมาก โดยทำให้สุกรที่ติดเชื้อมีการตายเฉียบพลันเกือบ 100% สุกรที่ป่วยจะแสดงอาการคล้ายคลึงกับโรคอหิวาต์สุกร และพีอาร์อาร์เอส คือ มีไข้สูง เบื่ออาหาร ท้องเสีย และแท้งในแม่สุกร โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรสามารถติดต่อได้จากการที่สุกรสัมผัสโดยตรงกับสิ่งคัดหลั่งของสุกรป่วย การหายใจเอาเชื้อเข้าไป การกินอาหารที่มีเชื้อปนเปื้อน รวมทั้งโดนเห็บที่มีเชื้อกัด เป็นต้น
ทั้งนี้ จากผลการสอบสวนโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรในสหพันธ์รัสเซีย พบว่ามีสาเหตุจากการปนเปื้อนเชื้อไวรัสในไส้กรอกและซาลามีซึ่งบริโภคแบบไม่ปรุงสุก ที่คนบริโภคไม่หมดแล้วนำไปเลี้ยงสุกร กรมปศุสัตว์จึงขอย้ำให้เกษตรกรหลีกเลี่ยงการใช้เศษอาหารไปเลี้ยงสุกรและหากพบสุกรแสดงอาการป่วยดังกล่าวให้แจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ในพื้นที่ รวมทั้งหากไม่แน่ใจว่า เป็นไข้หวัดหมู หรือโรคอหิวาต์แอฟริกาให้แจ้งทางปศุสัตว์ทันทีเพื่อจะได้ตรวจยืนยันโรค ซึ่งจะทำให้ควบคุมการระบาดได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที