ไขกุญแจปฏิรูปการศึกษา
ไขกุญแจปฏิรูปการศึกษา จุดเปลี่ยนสำคัญอยู่ที่ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครู-ศิษย์ ชี้ปัญหาการศึกษาไทยหลักสูตรไม่เอื้อสอนไม่ตรงกับพัฒนาการของเด็กแต่ละวัย เปิดต้นแบบโรงเรียนพัฒนาห้องเรียนให้มีประสิทธิภาพ ส่งผลคะแนนพุ่ง-เกิดความสุขในการเรียนรู้
เมื่อเร็วๆ นี้ ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และกลุ่มเพื่อนปฏิรูป จัดเวทีเสวนาปฏิรูปการเรียนรู้สู่การศึกษาเพื่อคนทั้งมวล ครั้งที่ 34 ในหัวข้อ “ไขกุญแจการปฏิรูปการศึกษาไทย : หัวใจสำคัญคือความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครูกับเด็ก” มีศ.นพ.วิจารณ์ พานิช เป็นประธาน โดยได้นำเสนอกรณีศึกษาโรงเรียนวัดรางบัว กรุงเทพฯ ร.ร.นำร่องที่ได้นำวิธีการพัฒนาการศึกษาให้มีประสิทธิภาพของศูนย์จิตวิทยาการศึกษา มูลนิธิยุวสถิรคุณ ผ่านวิธี “พี่สอนน้อง ผองเพื่อนช่วยกัน” มาประยุกต์ใช้ส่งผลให้เกิดปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครูและลูกศิษย์ในชั้นเรียนทั้งสาระและความสนุกสนาน
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์จิตวิทยาการศึกษา มูลนิธิยุวสถิรคุณ กล่าวว่า กุญแจสำคัญของการปฏิรูปการศึกษาต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงถึงการเรียนรู้ในชั้นเรียน ซึ่งอยู่ที่ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครูและเด็ก และถือเป็นหัวใจสำคัญของการศึกษาตามแนวพระราชกระแสฯของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา พบว่า เราสามารถประเมินคุณภาพของความสัมพันธ์ระหว่างครูและเด็กได้จากการสังเกตปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการเรียนการสอนในคาบเรียน แต่อุปสรรคสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างครูกับเด็กคือ ระบบการศึกษาและหลักสูตรการเรียนการสอนของไทยที่ไม่เอื้อกับการสอนของครูและไม่เป็นไปตามพัฒนาการของเด็กในแต่ละช่วงวัย
นพ.ธีระเกียรติ กล่าวว่า รูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมนั้นต้องเชื่อมโยงในเรื่องพัฒนาการ เพื่อน สังคม และครอบครัวให้เข้ามามีบทบาทกระตุ้น ส่งเสริมพัฒนาการการเรียนรู้ของเด็ก ไม่ว่าจะเป็นการเข้ามามีส่วนร่วมของผู้ปกครอง การจัดการเรียนการสอนแบบพี่ช่วยน้อง ผองเพื่อนช่วยกัน มีการดูแลเด็กพิเศษโดยไม่แยกออกจากเด็กปกติ การพัฒนากรอบความคิดของครู ให้เชื่อว่าเด็กทุกคนสามารถพัฒนาได้ และการจัดกระบวนการสอนที่ช่วยกระตุ้น ให้เด็กๆ ได้ใช้ความคิด ซึ่งแนวทางการจัดการเรียนการสอนดังกล่าวได้มีการนำไปทดลองใช้ในโรงเรียนต้นแบบทั้งหมด 4 แห่งคือ ร.ร.จิตรลดา ร.ร.วัดรางบัว กรุงเทพฯ ร.ร.สัตยาไส จ.ลพบุรี และร.ร.บางมูลนาก จ.พิจิตร โดยความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนในโรงเรียงทั้ง 4 แห่ง ยืนยันถึงความสำเร็จของแนวทางการสอนดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
“นอกจากครูจะต้องสอนให้ตรงกับพัฒนาการของเด็กตามแนวทางนี้ให้ได้แล้ว ระบบการศึกษาของไทยยังจะต้องปลดล็อคในเรื่องของระบบการประเมินคุณภาพของครูออกไป การทำผลงานวิชาการ เพราะเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครูกับเด็กไม่อาจเกิดขึ้นได้”นพ.ธีระเกียรติ กล่าว
นางบุสบง พรหมจันทร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดรางบัว กรุงเทพฯ กล่าวว่า ทางโรงเรียนเริ่มนำรูปแบบการจัดการเรียนการสอนผ่านวิธี “พี่สอนน้อง ผองเพื่อนช่วยกัน” มาใช้ในปีการศึกษา2557นี้ เริ่มจากให้รุ่นพี่ม.6 ไปเรียนกวดวิชาตามที่ได้ทุนจากศูนย์จิตวิทยาการศึกษาแล้วนำความรู้ที่เรียนกลับมาประชุมกัน เพื่อหาเทคนิคสอนน้อง และให้ครูที่สอนในแต่ละวิชาตรวจเนื้อหาที่จะสอนน้อง ซึ่งการไปเรียนโรงเรียนกวดวิชาแต่ละครั้งจะมีการสร้างเครือข่ายให้เกิดขึ้น โดยสอนเพื่อนในชั้นเรียนเพื่อให้เพื่อนในชั้นได้เรียนรู้เพื่อช่วยกันสอนน้อง กระบวนการนี้ส่งผลให้รุ่นพี่ได้ทบทวนความรู้ เกิดความเข้าใจในเนื้อหาและเกิดความคิดสร้างสรรค์ในการใช้เทคนิคถ่ายทอดความรู้สู่รุ่นน้อง ซึ่งหลังจากได้สัมภาษณ์เด็กๆ ที่มาเรียน พบว่า นักเรียนทำคะแนนได้ดีขึ้นและมีความสุขในการเรียนรู้ ส่วนรุ่นพี่ก็รู้สึกภูมิใจและทำคะแนนได้ดีกว่าเดิมเช่นเดียวกัน
ที่มา : สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.)