โอกาสหรือ ‘วิกฤต’ เมื่อสงกรานต์ต้องมีเหล้า

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก


ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ


โอกาสหรือ 'วิกฤต' เมื่อสงกรานต์ต้องมีเหล้า thaihealth


ถึงเวลาทบทวน "โอกาส" หรือ "วิกฤต" ในวันที่สงกรานต์ต้องมีเหล้า


เมื่อรับทราบข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2560 ระบุว่า ประชากรไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปจำนวน 55.9 ล้านคน เป็นผู้ที่ดื่มสุราในรอบปีที่ผ่านมาประมาณ 15.9 ล้านคน (28.4%) สะท้อนจำนวนผู้ดื่มลดลงจากเดิม ปี 2557 และ 2558 (32.3% และ 34.5%)


ฟังดูแล้วน่าจะดีใจ แต่…แม้ว่าสถานการณ์การดื่มของประชาชนไทยลดลง ทว่าผลกระทบจากสุราทั้งการบาดเจ็บ ตาย พิการ พฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ มีให้เห็นตลอดระยะเวลาในช่วงเทศกาลหยุดยาวของคนไทย ยังคงอยู่ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา


เมื่อหลายฝ่ายลงความเห็นแบบเอกฉันทน์ว่า อุบัติเหตุที่เกิดจากความประมาทและเมา ในช่วง "เทศกาลสงกรานต์" ไม่ใช่เรื่องปกติอีก ต่อไป หากแต่เป็นสถานการณ์ "วิกฤต" ของสังคมไทยสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่าย  จึงมาร่วมถอดบทเรียนหวังผลักดันให้มีการทบทวนอย่างจริงจังและหามาตรการรับมือก่อนงานสงกรานต์ปีหน้าเสียแต่เนิ่นๆ ตั้งแต่วันนี้


"สงกรานต์เป็นเทศกาลที่น่ากลัวมาก วันแรกก็เกิดอุบัติหตุหรือมีผู้เสียชีวิตแล้ว เห็นได้ชัดเลยว่า "ความเมาและแอลกอฮอล์" เกาะติดชีวิตเราตั้งแต่วันแรกของเทศกาล" พรหมมินทร กัณธิยะ ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ กล่าว


เขาเล่าต่อว่า ในฐานะของคนทำงานตรงนี้มากว่าสามสิบปี ยังคงพบสถิติจำนวนผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากอุบัติในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวเพราะแอลกอฮอล์ รวมถึงช่วงสงกรานต์ไม่ได้ลดจำนวนลง หากกลับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอย่างมีนัยสำคัญ


"ยิ่งสงกรานต์ปีนี้ทำลายทุกสถิติ" ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุเอ่ย


ซึ่งข้อมูลจากศูนย์ความปลอดภัยทางถนนตั้งแต่วันที่ 11-17 เมษายน 2561 ได้สรุปสถิติ ผู้เสียชีวิตสะสมถึง 418 ราย ผู้ได้รับบาดเจ็บ 3,897 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่มีผู้เสียชีวิต 390ราย


พรหมมินทร์ยังเอ่ยถึงข่าวเหตุการณ์ที่ชายวัยรุ่น 4 คน ดื่มเหล้าขณะขับรถเล่นสงกรานต์ แล้วไลฟ์สดผ่านโซเชียลมีเดีย แล้วประสบอุบัติเหตุรถกระบะชนต้นไม้เสียชีวิตยกคัน ที่ได้กลายเป็นเรื่องสะเทือนขวัญและน่าเศร้าสลดใจในสังคมไทยที่สุดในสงกรานต์ปีนี้ โดยให้ข้อสังเกตว่า ทุกวันนี้ คนเราอยู่กับสื่อต่างๆ ค่อนข้างมาก ซึ่งข้อความ หรือ ภาพที่เห็นจากสื่อโฆษณา ก็ส่งผลต่อพฤติกรรมของกลุ่มวัยรุ่นค่อนข้างสูง


โอกาสหรือ 'วิกฤต' เมื่อสงกรานต์ต้องมีเหล้า thaihealth


ด้านคนในพื้นที่อย่าง สมควร งูพิมาย ภาคประชาสังคมนครราชสีมา คืออีกหนึ่งบุคคลที่ได้รับรู้เรื่องราวสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิดถ่ายทอดให้ฟังว่า หลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เรื่องราวหรือปัญหาไม่ได้จบแค่การสูญเสียชีวิตของ 4 วัยรุ่น เพราะผลกระทบที่สำคัญยังคงตกเป็นภาระของคนที่ยังอยู่ เนื่องจากชายคนขับที่เสียชีวิตมีครอบครัว ลูก ภรรยาและพ่อแม่ที่ต้องเลี้ยงดู เมื่อขาดคน หัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการเลี้ยงดูครอบครัว ทำให้ทุกคนต้องเผชิญกับความเดือดร้อน


"คนขับเนื่องจากเขาเมาแล้วขับ จึงไม่ได้มีค่าทำขวัญหรือค่าประกันสักบาท ที่สำคัญรถคันที่ชนยังผ่อนอยู่เลย รถพังแต่ยังต้องส่งค่างวดเดือนละ 9,000 บาท เราได้เข้าไปเยี่ยมบ้านพบสภาพครอบครัวยากจนมาก ความจริงเรื่องนี้ไม่น่าเกิดเพราะในหมู่บ้านมีด่านชุมชน แต่พอขับขึ้นถนนใหญ่เท่านั้นเขาแวะซื้อเหล้าที่ไหนก็ได้"


"ปัญหาที่มีต้นเหตุจากแอลกอฮอล์ ยังมีปัญหาอื่นที่ไม่ใช่แค่อุบัติเหตุ ทำให้ตั้งคำถามว่า ในค่านิยมความคิดเรื่องเทศกาลสงกรานต์ที่ต้องมี เมา-อุบัติเหตุ-โป๊เปลือย" นี้ ทำไมเราถึงไม่สามารถจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้ จำเป็นต้องมีการพัฒนารูปแบบการรับมือให้มากขึ้นหรือไม่" พรหมมินทร์เอ่ยเสริม


โอกาสหรือ 'วิกฤต' เมื่อสงกรานต์ต้องมีเหล้า thaihealth


เช่นเดียวกับความเห็นของ วิษณุ ศรีทะวงศ์ ผู้จัดการแผนพัฒนานโยบายสาธารณะ สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า ที่สนับสนุนว่าสถานการณ์ดังกล่าว ลำพังแค่ สสส. และเครือข่ายสามารถทำได้แค่เพียงเป็นน้ำมันหล่อลื่นในการแก้ปัญหาเหล่านี้ แต่ฝ่ายที่ต้องขับเคลื่อน ไปจนถึงกระตุ้นให้เกิดการลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง คือภาคนโยบายของประเทศ และคนไทยทุกคน


ซึ่งแม้วันนี้เหล่าภาคีที่ตระหนักและห่วงใยปัญหาดังกล่าวจะจับมือกันจนสามารถส่งเสริมมาตรการหลากหลาย รวมถึงการผลักดันพื้นที่โซนนิ่งเล่นน้ำปลอดภัย ปลอดแอลกอฮอล์ต้นแบบ ในพื้นที่เล่นสงกรานต์สำคัญๆ ทั่วประเทศ จนขยายผลสู่ถนนตระกูลข้าวทั้ง 50 กว่าแห่ง ในพื้นที่เอกชนที่หันมาให้ร่วมมือกันจัดกิจกรรมโดยปราศจากแอลกอฮอล์


แต่วันนี้ก็ยังเกิดกลยุทธ์ใหม่ๆ ของฝั่งผู้จำหน่ายหรือได้ผลประโยชน์จากเหล้าก็มากขึ้นอาทิ เกิดการจัดงานมิดไนท์สงกรานต์ (Midnight Songkran) ที่ได้กลายเป็นสถานการณ์หรืออีเวนต์ใหม่ ที่กำลังส่งผลให้คนตายและบาดเจ็บในช่วงเวลาดึกดื่น มากขึ้น และยังได้เปลี่ยนย้ายความตายจากถนนสายหลักสู่ถนนสายรองมากขึ้น


สรุปสุดท้ายในเสวนาวันนี้ ทุกฝ่ายจึงมีข้อเสนอเชิงนโยบาย ว่าควรขยายขอบเขตโซนนิ่งไปยังพื้นที่จัดงานเอกชนทั้งหมด และควรทำข้อตกลงกับร้านค้าและผู้ประกอบการธุรกิจแอลกอฮอล์เพื่อลดจำนวนกิจกรรมส่งเสริมการขายการดื่มในช่วงเทศกาล โดยภาคสังคมและหน่วยงานควรช่วยกันยกย่องสนับสนุนผู้ประกอบการที่ให้ความร่วมมือเหล่านี้ นอกจากนี้ควรตั้งหน่วย ฉก.เฉพาะกิจเพื่อควบคุมเครื่องดื่ม


"สิ่งสำคัญทุกคนต้องมีจิตสำนึกในเรื่องวินัย ทำอย่างไรให้กลไกระดับจังหวัดมีบทบาท มากขึ้น ต่อไปเราอยากนำเสนอว่าหากใครจัดงาน ควรให้ผู้ว่าเป็นผู้ดูแลและต้องมีการขออนุญาตทุกครั้ง" พรหมมินทร์ กล่าวทิ้งท้าย

Shares:
QR Code :
QR Code