โรงเรียน “บ้านปลาดาว” ต้นแบบพัฒนาเด็กปฐมวัย

      /data/content/26325/cms/e_afinpxyz2367.jpg   


         ปัญหาการศึกษาไทยยังเป็นเรื่องใหญ่ที่ทุกฝ่ายกำลังหาทางออก โดยเฉพาะการเปลี่ยนรูปแบบการสอนจากเดิมๆ เพราะแค่เพียงทำอย่างไรจะให้เด็กไทยอ่าน ออกเขียนได้ทั้งหมดยังเป็นเรื่องยาก เรื่องเหล่านี้ถือเป็นการบ้านสำคัญใหญ่ในการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษาครั้งนี้


          ก่อนจะไปถึงตอนนั้น อย่างน้อยในวันนี้ก็ยังมีตัวอย่างดีๆ จากโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ที่มีรูปแบบการเรียนการสอนและแนวทางบริหารจัดการด้วยงบประมาณของตัวเองได้อย่างน่าทึ่ง เพราะสามารถพัฒนาเด็กที่ได้รับความดูแลจากพวกเขาให้สามารถอ่านออก เขียนได้ถึง 80% นับเป็นแบบอย่างที่สังคมไทยอาจนำไปประยุกต์ให้เหมาะสมกับการศึกษา โดยเฉพาะเด็กที่ยากจนและขาดโอกาสที่มีอยู่มากมาย


          เมื่อเร็วๆ นี้ คณะทำงานโครงการ COACT (Capacity of A Community Treasures) โดย รศ.ดร.จุฑามาศ โชติบาง และทีมสหวิชาชีพ ร่วมกับสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชนและครอบครัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ลงพื้นที่โรงเรียนบ้านปลาดาว อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ เพื่อศึกษารูปแบบการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรของ ดร.ริชาร์ด พี ฮ็อกแลนด์ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิและดำรงตำแหน่งประธานกรรมการมูลนิธิโรงเรียนสตาร์ฟิชคันทรีโฮม (Starfish Country Home School Foundation) หรือโรงเรียนบ้านปลาดาว เพื่อนำรูปแบบกระบวนการเรียนการสอนไปปรับใช้ในการขับเคลื่อนศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก (ศพด.) ให้เป็นพื้นที่เรียนรู้ต้นแบบด้านการ/data/content/26325/cms/e_acefjklmoqv9.jpgปฐมวัยด้วยการพัฒนาแบบก้าวกระโดด


         ดร.ริชาร์ด กล่าวว่า มูลนิธิโรงเรียนสตาร์ฟิชคันทรีโฮมได้รับการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลไม่แสวงผลกำไรในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ.2548 โดยให้การสนับสนุนโครงการด้านการศึกษาการดูแลทางการแพทย์สำหรับเด็กเร่ร่อนข้างถนนในแถบเอเชีย รวมถึงโรงเรียนบ้านปลาดาว และยังเป็นที่ให้ที่พักและการศึกษาสำหรับเด็กชาวเขายากจน โดยใช้เงินทุนของตนเองเป็นส่วนใหญ่


         ทั้งนี้ กระบวนการเรียนการสอนช่วงเช้าจะเรียนเป็นรายวิชาปกติตามหลักสูตร แต่ช่วงบ่ายจะเรียนโดยใช้กระบวนการ Project Approach แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะเริ่มต้นโครงการ เป็นระยะที่ครูและเด็กร่วมกันอภิปราย เพื่อเลือกหัวข้อที่จะศึกษา โดยเรื่องที่จะศึกษาต้องสามารถบูรณาการเข้ากับการเรียนการสอนในหลักสูตรปกติ


         ระยะที่สองคือ ดำเนินการ เป็นหัวใจของการทำโครงการ ซึ่งประกอบด้วยการสืบค้นจากแหล่งต่างๆ เช่น ฟังวิทยากรบรรยาย ทัศนศึกษา ค้นหาจากหนังสือ โดยครูมีหน้าที่ในการจัดหา จัดเตรียมแหล่งข้อมูลและอำนวยความสะดวกให้กับเด็ก


         ระยะที่สาม สรุปโครงการ เป็นระยะที่เด็กสรุปและทบทวน รวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่เด็กได้ค้นคว้ามาเพื่อให้ได้คำตอบที่แท้จริง โดยเด็กๆ จะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน และนำเสนอข้อมูลและข้อค้นพบต่างๆ ซึ่งการเรียนเป็นโครงการถือเป็นจุดเด่นของโรงเรียน


         ดร.ริชาร์ด กล่าวต่อว่า การเรียนสาระสำคัญทั้ง 8 วิชา โรงเรียนจะสอนเป็นเซต เช่น วิชาภาษาไทยพยัญชนะ ก.-ฮ. หากเป็นโรงเรียนปกติจะเน้นการท่องจำตั้งแต่ ก.จนจบที่ ฮ.เรียงกันมา แต่ที่โรงเรียนจะสอนด้วยการแบ่งเป็นหมวด/data/content/26325/cms/e_afnopqswy123.jpgหมู่ของสัตว์ ก. ค. ช. ล., ม. ง. ส. ต., ป. ผ. น. ฮ. และใช้ภาพเป็นสื่อการสอน


         ซึ่งเด็กส่วนใหญ่เป็นชนเผ่า ลำพังให้เด็กพูดและฟังภาษาไทยยังยาก โดยก่อนที่เด็กจะเรียนอนุบาล 1 จะมีการปรับพื้นฐานเด็กทุกคน 6 สัปดาห์ เช่นเดียวกับภาษาอังกฤษ จะไม่สอนแบบรวดเดียว A-Z แต่จะใช้การสอนเป็นเซตที่ 1 A B C D เซต 2 E F G H เซต 3 I J K L เพื่อให้เด็กเรียนรู้และเข้าใจรู้จักตัวอักษรก่อน จึงสามารถพูด อ่าน เขียนได้เป็นรายบุคคลและทั้งชั้นเรียน ถึงร้อยละ 80 จึงจะเรียนเซตต่อไป


         โดยจะมีการวัดและประเมินผลจากครูผู้สอน ใน 1 ห้อง มีครู 2 คน เด็ก 20-25 คนช่วยกันสอนและประเมินผลเด็กเป็นรายคน โดยทุกวิชาจะสอนในลักษณะเดียวกัน ซึ่งมีจุดเด่นสำคัญๆ ที่สามารถนำมาปรับใช้กับเด็กปฐมวัยได้อย่างดี เพราะเด็กอนุบาล 1-3 สามารถพูด อ่าน เขียนได้ทั้ง 2 ภาษา รู้จักการนำเสนอหน้าชั้นเรียน กล้าตั้งคำถาม และยกมือแย่งกันตอบคำถามคุณครูอย่างสนุกสนาน


          โดยโรงเรียนจะมีการยืดหยุ่นหลักสูตรกระบวนการเรียนการสอน จะไม่ให้ครูมุ่งสอนให้จบตามบทเรียน หากเด็กไม่สามารถเรียนรู้และเข้าใจ เช่น โรงเรียนของไทยที่มักจะสอนเป็นบทเรียน และครูมักจะถามกันว่าวันนี้เรียนถึงบทไหนแล้ว แต่โรงเรียนเน้นสอนเป็นเซต เมื่อเซตที่ 1 ไม่ได้ ก็จะไม่ปล่อยผ่านไปเรียนในเซตที่ 2 อย่างเด็ดขาด


           “ภาพในห้องเรียนอนุบาล 1 กำลังเรียนรู้เรื่องดอกไม้ ซึ่งมีสื่อการเรียนการสอนที่เป็นภาพวาด รูปภาพ ดอกไม้จริง ดอกไม้ที่เกิดจากการประดิษฐ์ สื่อทุกอย่างเด็กมีส่วนร่วมในการทำ การหา สิ่งที่คณะโครงการ COACT ต่างตื่นตา


/data/content/26325/cms/e_celnoprstxz4.jpg


 ตกใจ คือการที่เด็กออกไปหน้าชั้นเรียนใช้ไม่ชี้ไปที่ภาพและอ่านคำที่มีองค์ประกอบของดอกไม้ โดย ดร.ริชาร์ด ร่วมซักถามเป็นภาษาอังกฤษ เด็กทุกคนช่วยกันตอบเสียงดังฟังชัด ซึ่งไม่เพียงชั้นอนุบาล 1”


           “คณะได้เข้าไปเยี่ยมชมชั้นอนุบาล 2 กำลังเรียนรู้เรื่องบ้านของเรา ซึ่งเป็นห้องที่เป็นเด็กใหม่รับเข้ามาเมื่อเดือน ก.พ.57 เรียนรู้เรื่องการทำขนมวุ้น อนุบาล 3 เรียนการทำโดนัท โดยทุกชั้นเรียนที่เยี่ยมชมเด็กทุกคนอ่าน พูด และเขียนได้ 2 ภาษา ประเด็นสำคัญเด็กมีพัฒนาการพร้อมที่จะเรียนรู้อยู่เสมอ”


           รศ.ดร.จุฑามาศ โชติบาง ผู้จัดการโครงการ กล่าวว่า สาเหตุที่คณะโครงการ COACT และนักวิชาการ สสส. มาโรงเรียนบ้านปลาดาวในครั้งนี้ ด้วยการแนะนำของ UNICEF ซึ่งต้องการให้เห็นกระบวนการเรียนการสอนที่ให้ความสำคัญโดยมองเด็กเป็นรายคน มองสภาพแวดล้อมที่เด็กสัมผัส และให้เด็กเลือกหัวข้อที่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง ทำให้เด็กเกิดความสนใจ ศึกษาค้นคว้าหาข้อมูล เพื่อนำมานำเสนอแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ ในชั้นเรียน เป็นการเรียนที่ยืดหยุ่นเป็นไปตามศักยภาพของเด็ก และสิ่งสำคัญคือการเตรียมครูผู้สอนให้เข้าใจกระบวนการสอน โดยครูต้องจัดทำแผนการสอนตลอดทั้งปี 100 ชั่วโมง


           มีการประเมินผลผู้เรียนรายคนหลังการสอน มีการประชุมครูทุกสัปดาห์เพื่อแลกเปลี่ยนและแก้ปัญหาระหว่าง/data/content/26325/cms/e_abcipqvwx347.jpgสอน ทำให้ครูตื่นตัวและพร้อมเรียนรู้ไปกับเด็ก ทั้งนี้ โรงเรียนบ้านปลาดาวเด็กทุกคนพักอาศัยอยู่ในโรงเรียนจึงมีความใกล้ชิดกับครู


           ซึ่งมีความแตกต่างจาก ศพด.ทั้ง 17 แห่งที่เข้าร่วมโครงการ COACT เพื่อพัฒนาแบบก้าวกระโดดใน 5 ระบบหลักคือ ระบบบริหารจัดการ ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม ระบบการจัดหลักสูตรการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ระบบการดูแลสุขภาพ และระบบการมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน


           ฉะนั้น โรงเรียนบ้านปลาดาวจึงนับเป็นเครือข่ายการเรียนรู้ที่สำคัญต่อการนำรูปแบบมาปรับให้เหมาะสมกับ 5 ระบบ และสอดคล้องกับบริบทของ ศพด.แต่ละแห่งในการมุ่งที่จะพัฒนาคุณภาพเด็กปฐมวัยของไทยสู่ความเป็นเลิศ ด้วยการสร้างการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงจากทุกภาคส่วนในชุมชนท้องถิ่น ทั้งผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชุมชน และผู้ที่เกี่ยวข้อง ให้ตระหนักถึงความสำคัญอย่างเร่งด่วนที่สุด


           นี่เป็นตัวอย่างของโรงเรียนต้นแบบที่ผู้เกี่ยวข้องสามารถนำไปปรับปรุงการศึกษาไทยในการปฏิรูปประเทศครั้งนี้.


 


 


            ที่มา: เว็บไซต์ไทยโพสต์


            ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

Shares:
QR Code :
QR Code