โรงพยาบาลในฝันทุกคนออกแบบได้
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ
เมื่อสามหน่วยงานต่างฝันเดียวกัน นั่นคืออยากมี "โรงพยาบาลในฝัน" ที่เป็นจริงจึงนำมาสู่ครั้งแรกของการล้อมวงกระชับความร่วมมือร่วมใจกัน เพื่อ "ปั้น" โรงพยาบาลชุมชนทั้ง 10 แห่งให้เป็น โรงพยาบาลในฝันของพี่น้องในชุมชน ที่จะมี "อัตลักษณ์" ที่เปลี่ยนไปทั้งหน้าตาภายนอกและการบริการภายใน จนหลายคนอาจอยากแอบมาใช้บริการ
ด้วยแนวคิด "โรงพยาบาลที่เป็นมากกว่าโรงพยาบาล" โครงการวิจัย และพัฒนาสิ่งแวดล้อมสร้างสรรค์ โรงพยาบาลชุมชนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา สำนักงานกองทุนสนับสนุน การสร้างเสริมสุขภาพ ร่วมกับ คณะสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยเกษตร และกระทรวงสาธารณสุข จึงได้ร่วมมือนำร่องเปลี่ยนโฉม 10 โรงพยาบาลชุมชนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ทั้ง 10 แห่งทั่วประเทศ ที่อีกไม่นานนี้ทุกแห่งจะมีลุคใหม่ที่เปลี่ยนไปใครๆ ตะลึง
โรงพยาบาลชุมชนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2550 เพื่อมีเป้าหมายสำคัญคือการพัฒนาให้เป็น โรงพยาบาล ด้านการบริหารจัดการ แนวใหม่ ให้มีคุณภาพเท่าเทียมระดับสากล ด้วยระบบการบริหารโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชุมชน และภาครัฐ ร่วมเป็นกรรมการโรงพยาบาล เพื่อพัฒนาสุขภาพแบบองค์รวม ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
จากความมุ่งหวังให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพอย่างมีคุณภาพและเท่าเทียม โดยเฉพาะพื้นที่ห่างไกล ด้วยความเชื่อที่ว่าคนทุกคนในสังคมมีสิทธิได้รับบริการสุขภาพที่ดี และการจัดสรรการบริการอย่างสะดวกและทั่วถึง โรงพยาบาลทั้งสิบแห่งจึงเน้นงาน เวชศาสตร์ครอบครัว การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันควบคุมโรค และการรักษา ฟื้นฟูแบบองค์รวม ในระดับปฐมภูมิ และระดับทุติยภูมิ ที่เชื่อมโยงสถานีอนามัย และหน่วยบริการด้านสุขภาพอื่นๆ จึงเป็น โรงพยาบาลที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่มิติ การแก้ปัญหาความเจ็บป่วยทางกาย เพราะสำหรับชุมชนบางแห่งแล้ว "โรงพยาบาล" อาจเป็นมากกว่านั้น
"ที่ผ่านมาถ้าเราพูดถึงโรงพยาบาลชุมชน เรานึกถึงแค่ชุมชนทางกายภาพคือคนอยู่อาศัย แต่ในบางพื้นที่ชุมชนมีบทบาทมาก ในโรงพยาบาลของชุมชนตัวเอง บางแห่งชุมชนคือผู้บริจาคพื้นที่ให้ สนับสนุนตลอดเวลา ทำให้เราเรียนรู้ว่าจริงๆ แล้วบทบาทชุมชนมีอิมแพ็คท์เยอะในการคงอยู่ของโรงพยาบาลแต่ละแห่ง" ผศ.ดร.สรนารท สินอุไรพันธ์ หัวหน้ากลุ่มวิจัยสิ่งแวดล้อมสร้างสรรค์เพื่อสร้าง สุขภาวะ ผู้ริเริ่มแนวคิดและผู้รับผิดชอบโครงการออกแบบสถาปัตยกรรมและปรับปรุงสิ่งแวดล้อมของโรงพยาบาลเอ่ยถึงแรงบันดาลใจของโครงการนี้
"การทำงานออกแบบทุกโรงพยาบาลทั้งสิบแห่งจะเริ่มจากกระบวนการมีส่วนร่วม ทีมวิจัยต้องถามความคิดเห็นคนในพื้นที่ ตั้งแต่ระดับผู้อำนวยการโรงพยาบาล จนถึงระดับล่างที่สุด ไปจนถึงประชาชนผู้ใช้บริการ เพราะฉะนั้นแม้แต่แม่บ้านคนหนึ่งก็มีสิทธิ์ออกเสียง เราเปิดพื้นที่ให้ทุกคน มาส่งเสียง ที่สำคัญเราเชื่อว่า "สุขภาวะ" เกิดจากสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ และใน โรงพยาบาลสามารถมีบทบาทสำคัญมากกว่าการรักษาเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะโรงพยาบาลชุมชน เราจึงอยากให้โรงพยาบาลสามารถเป็นสถานที่ที่ไม่ต้องเจ็บป่วยก็สามารถไปได้ หรือช่วยเหลือเยียวยาด้านจิตใจของคนในชุมชน"
กว่าจะมาเป็น ร-พ-วัดจันทร์ โฉมใหม่
โรงพยาบาลวัดจันทร์เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดเชียงใหม่ หนึ่งในโรงพยาบาลนำร่องของโครงการ เป็น โรงพยาบาลชุมชนขนาดเล็กในอำเภอกัลยาณิวัฒนา ขนาด 10 เตียง ที่ได้รับการปรับปรุงพื้นที่ให้ขยายเป็นศูนย์สุขภาพเพื่อชุมชนมากขึ้น โดยทีมงานสถาปนิก สายจิตอาสา "ใจบ้านสตูดิโอ"
ที่สำคัญครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่ประชาชนในพื้นที่อย่างพวกเขาจะมี ส่วนร่วมในการออกแบบโรงพยาบาลชุมชนของตนเอง
แพรวพร สุขัษเฐียร สถาปนิกจากใจบ้านสตูดิโอ หนึ่งในเครือข่าย CAN ที่เป็นหนึ่งในทีมออกแบบโรงพยาบาลวัดจันทร์โฉมใหม่แห่งนี้ เล่าถึงแนวทางการออกแบบและกระบวนการทำงานว่า ทั้งทีมวิจัยและบุคลากรโรงพยาบาลอยากให้โรงพยาบาลเป็นมากกว่าโรงพยาบาล ที่ไม่ต้องป่วย แต่สามารถมาคุยเรื่องสุขภาวะได้ทุกเรื่อง
"เราเริ่มจากไปคุยกับคุณหมอที่ โรงพยาบาล ทำให้พบว่าพื้นที่นี้มีหลายชาติพันธุ์หลายชนเผ่า ซึ่งมีวัฒนธรรม การดูแลรักษาไม่ใช่แค่ระบบสมัยใหม่อย่างเดียว โดยคุณหมอตั้งโจทย์ให้เราด้วย ว่าต้องเชื่อมโยงการรักษาด้วยวัฒนธรรมวิถีชนเผ่า ซึ่งการที่เราก็ได้มีโอกาสคุยปรึกษากับผู้นำชนเผ่าหรือชาวบ้านในชุมชน ทำให้เราทราบมากขึ้นว่า หัวใจการรักษาของเขา คือ "แม่เตาไฟ" ที่แม้วิถีจะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่ชาวบ้านยังคงมีพิธีกรรมส่วนใหญ่อยู่รอบๆ แม่เตาไฟ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่เราออกแบบตามแนวคิดว่า ควรมีเฮือนแม่เตาไฟเป็นพื้นที่อีกส่วนสำคัญของโรงพยาบาล ที่เราจะสร้าง"
โรงพยาบาลวัดจันทร์ฯ ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอกัลยาณิวัฒนาแห่งนี้มีพื้นที่ทั้งหมด 60 ไร่ โดยร้อยละ 90 เป็นป่าสนผสมป่าเต็ง และมีการเตรียมพื้นที่ปลูกสมุนไพรพื้นบ้าน และจัดตั้งศูนย์องค์ความรู้สมุนไพ ร3 ชาติพันธุ์ ในพื้นที่โรงพยาบาล ดังนั้นในเรื่องของวัสดุที่ใช้ ทำให้ทีมสถาปนิกและหลายฝ่ายเห็นพ้องกันว่าควรจะนำวัสดุพื้นถิ่นคือไม้ในพื้นที่มาเป็นส่วนประกอบของอาคารแห่งนี้
"มีหลายโครงการที่เราสร้างด้วยปูนหรือวัสดุสมัยใหม่เขากลับไม่ได้ใช้ เพราะอุณหภูมิร้อนที่สุดที่วัดจันทร์ฯ คือ 26 องศา กลางคืนจะหนาวมาก เราก็คิดว่าเวลาที่ญาติต้องมาเฝ้าไข้คนป่วยก็จะหนาวมาก จึงมองว่าการใช้ไม้จะเหมาะกับสภาพแวดล้อมมากกว่า การออกแบบจึงมีพื้นที่นั่ง แม่เตาไฟ นิทรรศการ เพราะเราอยากให้เชื่อมโยงระหว่างวัฒนธรรมดั้งเดิมกับวัฒนธรรม สมัยใหม่ ที่สำคัญพื้นที่วัดจันทร์เป็นพื้นที่ ป่าสน ทรัพยากรไม้มีค่อนข้างเยอะ"
แต่กระบวนการดังกล่าวนำไปสู่ความเวที ความร่วมมือระหว่างผู้ออกแบบ ทีม โรงพยาบาลและชาวบ้านเพื่อทำความเข้าใจในการนำทรัพยากรส่วนกลางมาใช้ในพื้นที่สาธารณะ และรวมถึงการจัดสรรพื้นที่วัฒนธรรมจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ โรงพยาบาลแห่งนี้ด้วย
"ประเด็นสำคัญคือเราต้องทำความเข้าใจกับคนในพื้นที่ ในการจะนำไม้นี้มาใช้ ว่าการรักษาหรือการอนุรักษ์ไม่ได้แปลว่าแค่เก็บต้นไม้ไว้ หรือห้ามนำมาใช้ แต่ควรเป็นการนำมาใช้ที่เกิดประโยชน์สูงสุด และเราจะปลูกคืนยังไง ขณะเดียวกันเราก็ยังได้พบว่า เดิมปัญหาการจุดแม่เตาไฟจะทำให้ มีควันอบอวลอยู่ในภายในบ้าน ที่ทำให้ส่งผลเสียต่อสุขภาพด้านทางเดินหายใจ เราพยายามนำความรู้ทางสถาปัตยกรรม เช่นการเพิ่มหลังคาที่ช่วยระบายควันออก ซึ่งชาวบ้านนำแนวคิดนี้ไปประยุกต์ใช้ได้"
"โรงพยาบาลกับชุมชนไม่มีอาณาเขต เราเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน" นพ.ประจินต์ เหล่าเที่ยง ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลชุมชนวัดจันทร์เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรรษา เล่าถึง รูปแบบการทำงานที่แตกต่างจากการรักษา
แบบเดิมๆ โดยให้ข้อมูลว่า เดิมตัวชาวบ้าน ในพื้นที่ซึ่งกว่าร้อยละ 90 คือชาวชาติพันธุ์จะมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ตลอดจนภูมิปัญญาที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเมื่อก่อนหลังจากมี โรงพยาบาลเข้าไป ก็ทำให้ชาวบ้าน หันมาใช้ยา แต่ด้วยแนวทางการดูแลรักษาแบบองค์รวม ทางโรงพยาบาลจึงมีการ ส่งเสริมให้ชาวบ้านหันมาใช้สมุนไพรมากขึ้น
"มองว่าหากอันไหนเป็นสิ่งที่ดีเราก็อยากให้เขาใช้สมุนไพรมากกว่ายา แต่การที่เราจะเปลี่ยนพฤติกรรมใครสักคนต้องใช้เวลาเหมือนกัน ไม่ใช่เราพูดปุ๊บแล้วเขาจะเปลี่ยน อยู่ความศรัทธาและไว้วางใจ ดังนั้นการทำงานชุมชนจะอยู่ร่วมกันได้ต้องมีสร้างความผูกพัน เพื่อให้เกิดความไว้วางใจ การทำงานของเราส่วนใหญ่เราจะเข้าไปที่ชุมชน เราใช้ชีวิตอยู่กินร่วมกับเขา เพราะมองว่าต้องไปศึกษาบริบทและชีวิตความเป็นอยู่ของเขาจึงจะเข้าใจ อาหาร ตัวไหน เขากินอย่างไร ตัวไหนดีเราส่งเสริม ตัวไหนขาดเราพยายามเสริม เพราะชาวบ้านเขาจะมีอาหารพืชผักสมุนไพรของเขา หากบางอย่างการกินของเขามีปัญหาต่อสุขภาพ เราก็แนะนำปรับวิธีการให้เขาใช้วิธีใหม่"
ด้าน นพ.วีระพันธุ์ สุพรรณไชยมาตย์ รองประธานกรรมการคนที่ 2 กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวถึงแรงบันดาลใจในการสนับสนุนโครงการว่า
"เมื่อสองปีที่แล้ว ดร.สรนารถ และคณะ เดินทางมาเสนอโครงการนี้กับ สสส. ก็แปลกใจว่าไม่ค่อยมีคนแปลกหน้าแบบสถาปนิกมาขอทุนเรื่องสุขภาพ โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวเหล่านี้ต่างเป็นการทำด้วยใจ แม้จะมีอุปสรรคหลายเรื่องและความยากลำบาก แต่ทางทีมก็ไม่ลดละ ดังนั้น ความร่วมมือครั้งนี้จึงทำให้เราได้เห็นบรรยากาศว่ามีคุณหมอ พยาบาล สถาปนิก และชาวบ้านมานั่งคุยกันเรื่องสุขภาวะ เป็นมิติใหม่ที่ สสส. มองว่าเป็น จุดเริ่มต้นที่จะทำให้สังคมเราน่าอยู่ และจะเป็นแรงขับเคลื่อนฝ่าวิกฤติต่างๆ ในหลายๆ เรื่องได้ในอนาคต"