โรคติดเกม ภัยเงียบที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม

 ที่มา: คัมภีร์ป้องกันลูกติดเกม คู่มือสำหรับผู้ปกครองเรื่องก่ารเล่นเกมคอมพิวเตอร์ของเด็กและวัยรุ่น

โรคติดเกม (Gaming disorder)

                    เป็นการเสพติดทางพฤติกรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งการเสพติดทางพฤติกรรมหมายถึง “พฤติกรรมที่ทำซ้ำ ๆ มากเกินไปและไม่สามารถควบคุมได้ จนกระทั่งก่อให้เกิดผลกระทบหรือรู้สึกทุกข์ทรมาน” จากเกณฑ์การวินิจฉัยโรคขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) ได้ให้นิยามการติดเกมไว้ว่า หมายถึง รูปแบบการเล่นเกมไม่ว่าจะออนไลน์หรือไม่ก็ได้ โดยเป็นการเล่นอย่างซ้ำ ๆ และต่อเนื่องที่มีลักษณะดังนี้

1) ไม่สามารถควบคุมการเล่นเกมของตนได้

2) ให้ความสำคัญกับการเล่นเกมมากกว่ากิจวัตรประจำวันต่าง ๆ

3) ยังคงเล่นเกมหรือเล่นมากขึ้นทั้งที่การเล่นเกมนั้นก่อให้เกิดผลเสียกับตนเอง

 

สาเหตุของการติดเกม

  1. ตัวเด็กเอง
    1. ขาดความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง
    2. ขาดวินัยในตัวเอง
    3. มีปัญหาการควบคุมอารมณ์ และปัญหาพฤติกรรม เช่น โกหก ลักขโมย ทะเลาะวิวาท
    4. มีโรคทางจิตเวช เช่น สมาธิสั้น ซึมเศร้า วิตกกังวล ติดสารเสพติด
    5. ขาดทักษะการแก้ปัญหา
    6. ขาดทักษะสังคม มีปัญหากับเพื่อนบ่อย ๆ
  2. ครอบครัว
    1. มีความขัดแย้งกันในครอบครัว
    2. พ่อแม่ขาดสัมพันธภาพและความผูกพันที่ดีกับตัวเด็ก  เช่น ไม่ทำกิจกรรมสนุก ๆ ร่วมกัน
    3. ขาดกฎระเบียบเกี่ยวกับการเล่นเกมและการควบคุมกฎอย่างสม่ำเสมอ
    4. ขาดการสอดส่องดูแลการเล่นเกมของด็ก
    5. ไม่เป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้สื่อและเล่นเกมให้แก่เด็ก
    6. มีโรคทางจิตเวชในครอบครัว
  3. สังคมและเกม
    1. มีปัญหาความสัมพันธ์กับเพื่อนในชีวิตจริง
    2. มีการใช้เวลากับเกมมาก
    3. สามารถเข้าถึงเกมได้ง่าย มีเกมในห้องนอน
    4. มีโทรศัพท์ / คอมพิวเตอร์ / แท็บแล็ตเป็นของตัวเอง
    5. เกมมีการสวมบทบาทและเล่นกับผู้อื่น
    6. มีการจัดอันดับในเกม
    7. มีการใข้เงินเพื่อซื้อหรือสุ่มสิ่งของ หรือมีการพนัน
    8. มีเนื้อหาไม่เหมาะสมกับช่วงวัย มีเนื้อหาโป๊เปลือย

สัญญาณเตือนของการติดเกม 

                    การทราบถึงสัญญาณเตือนของการติดเกมมีความสำคัญเพื่อผู้ปกครองจะได้รีบเข้าช่วยเหลือ ไม่ปล่อยในการเล่นเกมที่มากเกินพอดีเริ่มบานปลายจนกลายเป็นการติดเกม สัญญาณเตือนเหล่านั้นมีลักษณะดังนี้

  1. ใช้การเล่นเกมเพื่อแก้เบื่อ แก้เซ็ง จัดการอารมณ์ทางลบบ่อย ๆ เด็กส่วนใหญ่ เมื่อเผชิญความเครียด มีความรู้สึกเศร้า เบื่อ มักมองหาทางออกด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การเล่นกีฬา เล่นดนตรี ทำสิ่งที่ชอบ และการเล่นเกมก็มักเป็นทางออกหนึ่งในการจัดการความเครียด แต่หากเด็กเลือกใช้วิธีการไม่หลากหลาย ใช้แต่การเล่นเกมเป็นทางออก พ่อแม่ควรรีบเข้าไปพูดคุย ชวนทำกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อให้มีวิธีจัดการความเครียดที่หลากหลายมากขึ้น อาจป้องกันการติดเกมได้
  2.  หงุดหงิด กระสับกระส่าย  กระวนกระวายเมื่อไม่สามารถเล่นเกมได้ หรือถูกบอกให้หยุดเล่น เด็กติดเกมจำนวนมากเมื่อถูกบอกให้หยุดเล่น มักรู้สึกหงุดหงิด ไม่พอใจ ถ้าผู้ใหญ่ที่มาเตือนกำลังมีอารมณ์โกรธ ดุด่าเสียงดัง หรือกระชากปลั๊กออก แต่หากผู้ใหญ่เตือนดี ๆ แล้วลูกยังหงุดหงิด เสียงดังโวยวาย ทำร้ายตัวเองและผู้อื่น สัญญาณหล่านี้เป็นสัญญาณอันตรายว่าลูกอาจติดเกมแล้ว ผู้ปกครองควรระงับสติอารมณ์ของตน ไม่ทำให้เรื่องลุกลามบานปลาย  และหาจังหวะเตือนเด็กจนกระทั่งเด็กเลิกเล่น  เนื่องจากการหนีออกไปอาจทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ว่า การโวยวาย การแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว ทำให้ตนเองสามารถเล่นต่อได้
  3. หมกมุ่นอยู่กับการเล่นเกม เด็กที่มีแนวโน้มจะติดเกมอาจมีความหมกมุ่นอยุ่กับเกมตลอดเวลา หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อเล่นเกมบ่อย ๆ เมื่อกลับถึงบ้านก็พุ่งไปหาคอมพิวเตอร์เพื่อเล่นเกมทันที ไม่รับผิดชอบกิจกรรมอื่น ใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ ไปกับกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเกม เช่น การอ่านข่าวสารเกม ดูนักพากย์เกม (game caster) หรือดู streaming ที่มีคนเล่นเกมเก่ง ๆ มาเล่นเกมให้ดู
  4. เล่นเกมมากขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่สามารถรับผิดชอบหน้าที่ หรือทำกิจกรรมอื่นน้อยลง เด็กที่ใช้เวลากับการเล่นเกมนานขึ้นเรื่อย ๆ ต่อรองผู้ปกครองเพื่อให้ได้เล่นเกมมากขึ้น หรือเดิมเคยรักษาเวลาในการเล่นได้ตามข้อตกลง แต่ต่อมาไม่สามารถรักษาเวลาได้ จากที่ไม่ต้องเตือนให้หยุดเล่นกลายเป็นผู้ปกครองต้องเข้าไปเตือนทุกครั้ง หรือเวลาที่เล่นเริ่มเบียดบังเวลาในการทำภาระหน้าที่ และการเรียน
  5. ยังคงเล่นเกมอยู่แม้จะเริ่มมีปัญหาเกิดขึ้น ผลกระทบจากการเล่นเกม คือการเสียเวลาไปกับการเล่นเกม ไม่กินข้าว นอนดึก ตื่นสาย เด็กทีมีแนวโน้มจะติดเกมมักจะไม่ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ยังคงเล่นเกมและไม่พยายามที่จะควบคุมการเล่น เริ่มโทษผู้อื่นนำไปสู่การขัดแย้ง และการใช้การเล่นเกมเป็นทางออกทำให้เกิดวงจรของปัญหาการติดเกม
Shares:
QR Code :
QR Code