โทร.แล้วขับอันตราย เลี่ยงไม่ได้ให้ใช้อุปกรณ์เสริม!!!
ชี้ฝ่าฝืนมีโทษปรับ + ตัดคะแนน
“ที่รักจ๊ะเป็นไงบ้างจ๊ะ วันนี้สบายดีหรือเปล่า กินอะไรหรือยัง” ท่าทางคุยโทรศัพท์แบบกระหนุงกระหนิง มือข้างหนึ่งของชายวัยรุ่นตอนปลายจับโทรศัพท์คุยด้วยอาการเขินอาย แน่นอนว่าปลายสายจะต้องเป็นคู่รักที่กำลังหวานเยิ้มป้อล้อกันไปมา
เวลาผ่านไป 10 นาทีก็แล้ว 20 นาทีก็แล้ว จนกระทั่ง 30 นาทีผ่านไป บทสนทนาอันน่าหวานชื่นก็จบลง
คงไม่ผิดอะไรหรอก หากเขาคนนี้โทรศัพท์ขณะที่ไม่ได้ขับรถไปด้วย!!!
และจะไม่ผิดมากไปกว่านี้ ถ้าชายคนนั้นไม่ใช่คนขับรถแท็กซี่ที่ผมเองต้องทนนั่งไปตลอดเส้นทางที่เขาคุยอย่างมิหยุดหย่อนโดยไม่ได้ใช้อุปกรณ์เสริมแต่อย่างใด
โชคยังดีที่ไม่เกิดอุบัติเหตุขึ้นระหว่างที่ชายคนนี้ประมาทเลินเล่อ เห็นแก่ความมักง่าย โดยไม่รับผิดชอบต่ออาชีพของตัวเอง เพราะไม่เพียงแต่ชีวิตของเขาเท่านั้น แต่ในฐานะที่เป็นผู้ขับรถโดยสารสาธารณะที่มีอีกหลายชีวิตอยู่ในอุ้งมือของเขา
โชคดีอีกที่เหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนที่โครงการ “โทร.ไม่ถือ” จะมีการเริ่มรณรงค์และใช้กันในวันที่ 8 พฤษภาคมที่ผ่านมา แต่หากกระทำในช่วงวันที่ 20 พฤษภาคมหรือต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้วเขาคงโดนเจ้าหน้าที่ตำรวจร่อนใบสั่งให้แน่
เหตุการณ์นี้มันทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก เมื่อได้ลงรถแท็กซี่คันนั้นก็ได้แต่โทรศัพท์ไปร้องเรียนเรื่องดังกล่าวให้ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนรับทราบ แต่ถึงวันนี้คงไม่มีการร้องเรียนเช่นนั้นอีกแล้ว
เพราะพ.ร.บ.จราจรทางบก ฉบับที่ 8 พ.ศ. 2551 มาตรา 43 กำหนดห้ามมิให้ผู้ขับรถ (9) ในขณะใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ เว้นแต่การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่โดยใช้อุปกรณ์เสริมสำหรับสนทนา โดยที่ผู้ขับขี่ไม่ต้องถือหรือจับโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้น ผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตาม มาตรา 43 (9) ต้องระวางโทษ มีโทษปรับตั้งแต่ 400-1,000 บาท เป็นการปรับร่วมกับตัดคะแนนความประพฤติ 10 แต้ม ซึ่งจะบันทึกลงในประวัติผู้ขับขี่รถยนต์อีกด้วย
ที่ต้องคุมเข้มลงโทษจับปรับกันนั้นก็ไม่ใช่เพราะอะไร ก็เพราะความปลอดภัยและการลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ความสูญเสียที่เกิดขึ้นโดยที่สามารถป้องกันได้
จากข้อมูลของคุณหมอแท้จริง ศิริพานิช ประธานโครงการโทร.ไม่ถือ เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ ที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทนุสนับสนุน การสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ระบุว่า ข้อมูลการศึกษาในต่างประเทศพบว่า หากผู้ขับขี่รถยนต์ใช้โทรศัพท์จะส่งผลให้สมาะในการขับขี่ลดหาย 50% การมองเห็นลดหาย 50% ตลอดจนการควบคุมความเร็ว การเบรก และการควบคุมพวงมาลัยทางโค้ง ก็จะลดประสิทธิภาพลงเช่นเดียวกัน ถือว่าเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุเพิ่มขึ้น 2-4 เท่า และมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุมากกว่าผู้ขับขี่ที่มีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดไม่เกิน 80 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ทำให้เสียสมาธิ เบรกช้าลง 0.5 วินาที
เมื่อ “โทร.ไม่ถือ” ไม่ได้หมายความว่า ห้ามโทร.ขณะขับรถ แต่เป็นเพราะ “โทรแล้วขับอันตราย เลี่ยงไม่ได้ให้ใช้อุปกรณ์เสริม” ทั้งแฮนด์ฟรีหรือหูฟังไร้สายอย่างบลูทูธ ที่ขณะนี้มีราคาถูกลงจากในอดีตอย่างมาก หรือจะเลือกประหยัดเป็นว่าโทร.ไม่รับสายเลยก็เป็นเรื่องที่ดี
เท่าที่ทราบคุณตำรวจฝากกระจายข่าวให้ทราบโดยทั่วกันว่า หากใครที่มีความคิดว่า ถนนเส้นนี้ปลอดโปร่ง ไม่มีด่าน ไม่เห็นป้อมตำรวจ เลยโทรศัพท์ได้ ไม่ต้องกลัวอะไร จงระวังให้ดีเถอะ เพราะวันดีคืนดี ภาพการกระทำผิดจะถูกส่งไปยังบ้านของคุณ เพราะตามแต่ก็ให้ระวังตัวไว้ให้ดี เพราะภาพรถของคุณที่กระทำผิดจะถูกส่งไปที่บ้าน
เพราะขณะนี้กล้องตรวจจับบนเส้นทางหลัก ทางด่วน ทางหลวง หรือตามสี่แยกต่างๆ มีกล้องกว่า 100 ตัวแล้ว และนับวันกล้องจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และในอนาคตพบว่า มีการกระทำผิดข้อหาเดิมซ้ำภายใน 1 ปี จะไม่คืนใบขับขี่ให้ จนกว่าจะผ่านการอบรมอย่างน้อย 5 ชั่วโมงจึงจะพิจารณาคืนใบขับขี่ให้อีกที
วิธีดีที่สุดคือ ไม่โทร.เลย หรือถ้าจำเป็นต้องโทร.ให้ผู้ร่วมเดินทางในรถช่วยรับโทรศัพท์ให้แทน แต่หากเดินทางตามลำพัง ไม่มีอุปกรณ์เสริมก็ให้จอดรถพูดคุยธุระข้างทางได้ หากมีอุปกรณ์เสริมให้กับโดยใช้อุปกรณ์เสริม แต่ไม่ควรคุยนาน คุยเท่าที่จำเป็น เพราะสมาธิของคุณส่วนหนึ่งจะถูกบั่นทอน แทนที่จะสนใจกับการขับยานพาหนะ
ก้าวต่อไปของมูลนิธิเมาไม่ขับ ที่จะขับเคลื่อนต่อไปคือ โครงการจังหวัดนำร่องเมาไม่ขับ โครงการผลักดันให้มีการออกกฎหมายตรวจวัดแอลกอฮอล์รถที่เกิดอุบัติเหตุทุกคัน และบทลงโทษผู้ที่ปฏิเสธการตรวจวัดแอลกอฮอล์ โครงการผลักดันให้วันเข้าพรรษาเป็นวันงดดื่มสุราแห่งชาติ โครงการผลักดันให้มีการลดระดับแอลกอฮอล์ในส่วนของผู้ขับขี่ จาก 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ให้เหลือเป็น 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ฯลฯ
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องดีๆ ที่ช่วยป้องกันชีวิตของคุณต้องสูญเสียไปโดยมิใช่เหตุ เพราะเพียงแค่เสี้ยววินาที ชีวิตของคุณและผู้ร่วมเดินทางกับคุณอาจต้องจากไปโดยไม่มีวันกลับ
เรื่องโดย : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
ที่มา : หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
ภาพประกอบ : อินเตอร์เน็ต
Update : 29-08-51