โซเชียลมีเดีย…แขนขาฝ่าวิกฤตน้ำ
โซเชียลมีเดียอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญในการเชื่อมความช่วยเหลือ-ข้อมูลเพื่อฝ่าวิกฤตอุทกภัย ชาวทวิตเตอร์ร่วมกันติดแท็ก #thaiflood ในข้อความที่เกี่ยวข้องกับน้ำท่วม
เมื่อประสบวิกฤตทุกครั้ง น้ำใจของคนไทยจะหลั่งไหลคอยช่วยเหลือผู้ประสบภัยในหลายรูปแบบ และครั้งนี้แนวรบของ social media อย่างเฟซบุ๊ก หรือ ทวิตเตอร์ ก็เป็นแนวรบสำคัญในการรวมตัว ช่วยในการเข้าถึงพื้นที่ประสบภัยเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ รวมถึงการระดมสรรพกำลังในการบริจาคสิ่งของให้ตรงตามความต้องการของผู้ประสบปัญหา
วันนี้ “อาสาสมัครภาคประชาชน” รวมตัวกันอยู่ที่ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ที่สนามบินดอนเมือง ได้ทำหน้าที่เป็นอีกแขนขาของรัฐบาล ด้วยกำลังและประสบการณ์จากอุทกภัยที่ผ่านมาหลายครั้ง ทำให้มีเครือข่ายจำนวนมาก ทั้งวิทยุสมัครเล่นกู้ภัย หรือคนในพื้นที่ เป็นส่วนสำคัญที่นำไปสู่การบูรณาการช่วยเหลือภาครัฐอพยพผู้คนในรูปของภาคประชาชน
ปรเมศวร์ มินศิริ ในฐานะผู้ประสานงานเครือข่ายไทยฟลัด หรือ ศูนย์ประสานการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ในฐานะภาคประชาชนที่ผ่านประสบการณ์ในการกู้วิกฤตน้ำท่วมมาตลอด 1 ปีที่ผ่านมา และเป็นหัวเรือใหญ่ที่ดูแล ศปภ.ภาคประชาชน เล่าว่า น้ำท่วมในครั้งนี้โซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ เป็นแนวร่วมสำคัญของเครือข่าย และช่วยบูรณาการข้อมูลต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและครอบคลุมในหลายมิติมากขึ้น โดยหน้าที่ของ ศปภ.ภาคประชาชน จะเป็นส่วนหนึ่งในการรับฟังวิกฤตจากประชาชนผ่านหมายเลข 1111 กด 5 ของรัฐบาลและกระจายลงสู่โซเชียลมีเดีย รวมถึงสื่ออื่นๆ เพื่อประสานแขนขาในการเข้าสู่พื้นที่ต่อไป
“ในแต่ละวันมีคนติดแท็กว่า #thaiflood ในทวิตเตอร์มากกว่า 1.5 แสนครั้ง ทำให้ประชาชนที่สนใจติดตามข้อมูลสามารถมองเห็น และทำให้รู้ว่ามีพลังมากขึ้นในการเชื่อมโยงข้อมูลไปยังเครือข่ายต่างๆ ซึ่งหน้าที่หลักในการทำงานครั้งนี้ของไทยฟลัดก็คือ การประสานงานเข้าช่วยเหลือในพื้นที่ประสบภัย การแจ้งพื้นที่อพยพ การแจ้งเส้นทางสัญจร รวมไปถึงประสานงานความต้องการของประชาชนในพื้นที่” ปรเมศวร์ กล่าว
อาสาสมัครภาคประชาชนที่มารวมตัวกันที่ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ที่สนามบินดอนเมือง
ขณะที่การส่งอาสาสมัครเข้าไปช่วยเหลือนั้น ปรเมศวร์ บอกว่าขณะนี้ยังคงเสี่ยงเกินไป เนื่องจากยังคงมีอันตรายอยู่มากจากกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว ซึ่งครั้งนี้จะประสานเฉพาะผู้เชี่ยวชาญจริงๆ เท่านั้นในการเข้าพื้นที่ ซึ่งในช่วงนี้ภาคประชาชนและโซเชียลมีเดียคงทำหน้าที่ได้ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ แต่เชื่อว่าในช่วงฟื้นฟูจะยังมีบทบาทอีกมาก
ขณะที่ สมบัติ บุญงามอนงค์ สวมบทบาทเป็นหนึ่งในทีมงานของมูลนิธิกระจกเงา ได้เข้าร่วมกับไทยฟลัดและกลุ่มอาสาดุสิต ในการรวบรวมกำลังคนเข้าช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม เพื่อร่วมทำงานเชื่อมโยงกันผ่านสังคมออนไลน์ จนทำให้ ศปภ.ดอนเมือง ทีมงานภาคประชาชน ได้มีส่วนร่วมในการแจ้งเตือนปัญหาในการเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัย
“ผมมองว่าสถานการณ์ขณะนี้ยังไม่ถึงจุดสูงสุด เพราะหากสังเกตสถานการณ์น้ำ จะเห็นได้ว่าที่อยุธยายังคงสูงขึ้นเรื่อยๆ และมันจะไหลลงมาซ้ำปัญหาเดิมที่มีอยู่แล้วอีก ซึ่งสิ่งที่ภาคประชาชนกำลังทำขณะนี้คือ วางแผนว่าหากปัญหาเข้าสู่จุดสูงสุดแล้ว สิ่งที่แย่ที่สุดคืออะไร และเราจะสามารถอพยพคน หรือทำอะไรได้บ้าง” สมบัติ กล่าว
สมบัติ ทิ้งท้ายไว้ว่า ก่อนที่จะถึงสูงสุดของสถานการณ์ครั้งนี้ ควรจะอุดช่องโหว่ที่มีอยู่บ้าง จากการที่ยังไม่สามารถรวมเอาภาครัฐหรือบริษัทที่ทำกิจกรรมเพื่อสังคม หรือซีเอสอาร์ เข้ามาร่วมด้วยได้มากพอ ซึ่งหากได้ผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้เข้ามาวางแผนงานร่วมกัน รวมถึงใช้ประสบการณ์ที่มีก็จะเข้าที่มากกว่านี้ เพราะองค์กรที่เคยทำมามีประสบการณ์การจัดการ รวมถึงสามารถวางแผนงบประมาณที่ต้องใช้ได้อีกด้วย
ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์