“แลกชีวิต-รู้ความพิการ” สร้างสังคมมิติใหม่

 

“แลกชีวิต-รู้ความพิการ” สร้างสังคมมิติใหม่ 

          พลันที่เสียงหัวเราะปนความรู้สึกตื่นเต้นจากประสบการณ์ใหม่ๆ ได้เริ่มขึ้น ใครจะรู้ว่าอีกไม่นานอารมณ์ของพวกเขาจะเปลี่ยนไปคนละขั้ว ที่ว่าตื่นเต้น สนุกสนานในตอนแรก ไปๆ มาๆ ชักจะไม่แล้ว พอได้ลองเรารู้ก็เลยรู้ว่ามันลำบากมาก กะอีแค่ร่องน้ำเล็กๆ ยังบังคับรถเข็นให้ข้ามไปไม่ได้”

 

          “ดอย” หรือ “สักก์สีห์ พลสันติกุล” อดีตประธานชมรมเพื่อนผู้พิการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ บัณฑิตจากคณะวิจิตรศิลป์ เล่าถึงกิจกรรมจำลองความพิการ หนึ่งในโครงการ “”ค่ายพิการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันและกัน”” ที่ทางเครือข่ายพุทธิกาจัดขึ้น

 

          นอกจากการปิดตา ผูกขา ปล่อยผู้ร่วมกิจกรรมเข็นรถวีลแชร์ซื้อของในตลาดตามกติกาแล้ว การมีพี่เลี้ยงผู้พิการพูดคุยตลอดเวลาที่ถูกปิดตา ยิ่งทำให้รู้ถึงหัวอกของผู้พิการมากขึ้น

 

          มันทำให้รู้เลยว่าสังคมเราไม่ได้ออกแบบอะไรให้แก่กลุ่มคนพิการ” เขาบอก และอธิบายว่า นี่จึงเป็นที่มาของกิจกรรมที่เขาได้เริ่มขึ้นในรั้วมหาวิทยาลัย โดยมีเพื่อนๆ ต่างคณะ และกลุ่มผู้พิการในจังหวัดเชียงใหม่เข้าร่วมด้วยอย่างคับคั่ง อบอุ่น เป็นกันเอง

 

          โครงการค่ายเพื่อนผู้พิการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันและกัน คือการละลายกำแพงความไม่เข้าใจเรื่องความพิการ นำไปสู่การเปลี่ยนทัศนคติ ด้วยกระบวนการที่หลากหลายให้ได้เรียนรู้ และแลกเปลี่ยนกัน ทั้งด้านศิลปะ กฎหมาย การจำลองสถานการณ์ความพิการ ฝึกดูแลผู้พิการ กิจกรรมสันทนาการ การล้อมวงสนทนา” ดอยให้นิยาม

 

          แม้จะล่วงเลยมาพอสมควรแต่เขายังจำความรู้สึกและสายตาที่คนทั่วไปมองมาได้เป็นอย่างดี ดอยบอกว่า ขณะที่จำลองเป็นคนพิการนั้น แต่ละสายตาที่มองมาจากบนแผงขายของ เป็นสายตาของความสงสาร แม่ค้าบางคนถึงขนาดจะไม่รับเงิน เช่นเดียวกับแม่ค้าบางรายที่ตัดพ้อโชคชะตาแทนด้วยว่า “”ยังหนุ่มอยู่ ไม่น่าพิการเลย”” ดังนั้น สิ่งสำคัญของค่ายคือการทลายมุมมองผิดๆ ที่มีต่อคนพิการทิ้ง

 

          ในห้วงเวลาที่สังคมจัดกลุ่มคนพิการให้เป็นเพียงผู้รับการ “เอื้อเฟื้อ” ไม่ต่างจากคนชราและเด็ก “นาวาอากาศโท ภราดร คุ้มทรัพย์” หัวหน้าสำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กองบิน 4 อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ หนึ่งในวิทยากรผู้ร่วมอบรม และเป็นหนึ่งในผู้พิการทางร่างกาย มองสถานการณ์เช่นนี้ว่า เป็นอุปสรรคที่ไม่ค่อยจะเหมาะสมนัก ทั้งยังขวางกั้นทัศนคติที่สังคมควรจะมีต่อคนพิการเป็นอย่างยิ่ง

 

          อย่ามองคนพิการเพียงเพื่อสงสาร แต่เราต้องปลูกฝังให้เยาวชนมองไปถึงปัญหาที่ลึกลงกว่านั้น ทำอย่างไรให้สังคมเข้าใจถึงหลักการออกแบบสังคมเพื่อคนทั้งมวลในทุกๆ เรื่อง” ผู้พันภราดรสะท้อนปัญหา

 

          เขาอธิบายต่อว่า การออกแบบเพื่อคนทั้งมวล มิได้หมายถึงเพียงการออกแบบในเชิงศิลปะ อาคาร บ้านเรือนให้เหมาะสมกับคนทุกกลุ่ม อันรวมถึงกลุ่มคนพิการด้วยเท่านั้น แต่เป็นการสร้างสังคมให้เข้าใจคนพิการจริงๆ นำไปสู่การสร้างกระบวนการอื่นๆ ที่เอื้อให้คนกลุ่มนี้มีที่ยืนอยู่ในสังคมเฉกเช่นคนปกติ

 

          ค่ายนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งที่จะสร้างกระบวนการเหล่านั้น ยกตัวอย่างเยาวชนที่มาเข้าร่วมค่ายในครั้งนี้ มีความสามารถและถนัดในการเรียนต่างกัน หากหลังจากที่ผ่านกิจกรรม เขาได้เปลี่ยนทัศนคติ เมื่อออกไปทำงานจะสามารถนำไปประยุกต์กับสิ่งที่ตัวเองทำได้ เช่น คนที่เรียนสถาปัตย์ ต่อไปเขาจะรู้จักการออกแบบที่เอื้อต่อคนทุกกลุ่ม ไม่ใช่เน้นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพียงอย่างเดียว เขาจะรู้ว่าการออกแบบให้มีทางลาดสำหรับใช้เข็นรถวีลแชร์ขึ้นอาคารนั้น มันสำคัญไม่แพ้ความสวยงามของขั้นบันได

 

          คนเรียนหมอก็จะไม่ใช่เพียงแค่การรักษาให้หายจากโรคเท่านั้น แต่จะเข้าใจถึงการส่งต่อคนไข้คืนชุมชน ที่สำคัญยิ่งกว่า เพราะเป็นสถานที่ที่คนไข้ต้องอยู่ไปตลอดชีวิต เช่นเดียวกับการประยุกต์ในด้านอื่น เช่น สื่อ กฎหมาย ฯลฯ ที่ต้องเอื้อให้แก่คนทุกกลุ่ม” น.ท.ภราดรขยายความ

 

          หรืออย่างที่ “เต๋า” บุญฑริก นิยติวัฒน์ชาญชัย นักศึกษาชั้นปีที่ 5 คณะทันตแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ หนึ่งในผู้ร่วมค่ายที่กล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเองหลังผ่านกิจกรรมว่า มีมุมมองต่อคนพิการที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

 

          พร้อมยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า จากที่เคยรู้สึกเกร็งกับคนไข้ที่พิการไม่กล้าทำงานได้อย่างเต็มที่ กลัวทำอะไรที่ไม่เหมาะสม ถึงเวลานี้ความรู้สึกดังกล่าวหายไปอย่างสิ้นเชิง คนพิการก็เหมือนคนอื่นๆ เขาไม่ใช่คนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย เขาทำได้ เหมือนคนทั่วไป แต่สังคมต้องให้โอกาสพิสูจน์” ว่าที่หมอฟันหนุ่มเล่าถึงผลผลิตที่จับต้องได้ในตัวเอง

 

          รศ.นพ.กำจร ตติยกวี” กรรมการบริหารแผน (คณะ 6) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ผู้สนับสนุนโครงการ กล่าวว่า หากเชื่อมโยงคนพิการกับคนปกติได้อย่างเข้าใจจริงๆ กิจกรรมนี้มาถูกทางแล้ว จากนี้ไปทุกคนในสังคมต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่าทัศนคติของเราที่มีต่อคนกลุ่มต่างๆ ที่อยู่ร่วมกันเหมาะสมหรือไม่

 

          นอกจากกิจกรรมจำลองสถานการณ์ความพิการ ค่ายยังบรรจุไปด้วยหลายรูปแบบของการเรียนรู้ อาทิ กิจกรรมการศึกษาชีวิต เรียนรู้สุขภาพองค์รวมเพื่อปรับทัศนคติให้รู้ว่าการมีสุขภาพดีไม่ได้จำกัดอยู่ที่ร่างกายเพียงอย่างเดียว กิจกรรมการรับรู้ความเป็นมนุษย์ และคุณค่าของการดำเนินชีวิต โดยเน้นให้ผู้ร่วมรู้สึกซาบซึ้งถึงน้ำใจของมนุษย์ที่มีค่าสำคัญยิ่งกว่าอื่นใด” เขาบอกถึงรายละเอียดประเด็นสำคัญที่จะสื่อสารในค่ายนี้ และกิจกรรมอื่นๆ อีกต่อไป

 

          หนทางยังอีกไกล จุดนี้เสมือนเป็นเพียงช่วงเริ่มต้น กิจกรรมที่จะปรับเปลี่ยนมุมมองให้เหมาะสมในเรื่องต่างๆ จำเป็นจะต้องมีต่อ” รศ.นพ.กำจรยืนยัน

 

          ส่วน “ดอย” สรุปบทเรียนที่ได้รับจากค่ายนี้ว่า อย่างน้อยที่สุดความคิดเรื่องการสนับสนุนสงเคราะห์คนพิการของเขาได้หมดไป ซึ่งหากสังคมคิดได้เช่นนี้แล้ว ก็จะไม่มีคนพิการที่เป็นภาระของสังคมอีกต่อไป คงเหลือแต่ผู้ที่ร่างกายไม่สมบูรณ์ ที่มีอิสระในการดำรงชีวิต สามารถแสดงศักยภาพในเรื่องต่างๆ เฉกเช่นเดียวกับคนอื่นๆ

 

          เพราะแท้จริงแล้ว โลกนี้ไม่เคยมีคนพิการจริงๆ เลยสักคน แต่สังคมต่างหากที่พิการ

 

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

 

 

update 02-07-52

อัพเดทเนื้อหาโดย : กันทิมา ลีจันทึก

Shares:
QR Code :
QR Code