แรงงานหญิงซดเหล้าถี่หวังระบายทุกข์
งานวิจัยสะท้อนแรงงานหญิงซดเหล้าถี่ บางรายตั้งท้องยังไม่หยุด ชี้ปัญหาชีวิต ครอบครัว ความรัก การทำงานย่ำแย่ เป็นตัวกระตุ้นให้ดื่มหนัก เสี่ยงถูกลวนลาม ละเมิดทางเพศ ขณะที่ผู้นำแรงงานวอนหยุดละเมิดสิทธิ์แรงงานหญิง ขยายเวลาลาคลอด นักวิชาการเร่งภาครัฐจัดการปัญหา ลดพฤติกรรมการดื่ม แนะจัดการแรงงานใต้ดินเข้าสู่ระบบประกันสังคม
ในงานเสวนา “แกะรอยวิกฤตแรงงานหญิงไทยกับสุรา” เนื่องในวันแรงงานแห่งชาติ ปี 2557 จัดโดย มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทั้งนี้มีกลุ่มสหภาพแรงงาน กลุ่มแรงงานนอกระบบ องค์กรสตรี เข้าร่วมกว่า 40 คน นางสาวปุณิกา อภิรักษ์ไกรศรี อาจารย์ประจำคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยงานวิจัย “ชีวิตแรงงานหญิงกับวงจรเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ปี 2556-2557 โดยสำรวจจากกลุ่มแรงงานหญิงพื้นที่ จ.นนทบุรี เครือข่ายสหภาพแรงงานอ้อมน้อย-อ้อมใหญ่ และแรงงานเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จ.ลำพูน จำนวน 1,667 ราย พบว่า ปัจจัยที่ทำให้แรงงานหญิงมีพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบบต่อเนื่องและเพิ่มระดับดีกรีขึ้น มีดังนี้
1. ประสบการณ์การดื่มครั้งแรก ซึ่งมีผลต่อการดื่มในครั้งถัดไป เช่น ดื่มครั้งแรกมีประสบการณ์ที่ดี เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีรสชาติดี มีรสชาติหวาน ก็จะกระตุ้นให้ดื่มในครั้งถัดไปและเพิ่มดีกรีมากขึ้นได้ง่าย
2. กลุ่มเพื่อน มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการดื่มอย่างต่อเนื่อง เพราะกลุ่มตัวอย่างกว่า 39.91% ให้เหตุผลในการดื่มว่า เพื่อสร้างสัมพันธ์กับเพื่อนฝูง 25.90%ดื่มเพราะชอบพูดคุยแลกเปลี่ยนสาระทุกข์สุขดิบ สำหรับช่วงเวลาที่นิยมดื่มคือ วันหยุด หลังเลิกงาน เพื่อที่จะได้มีโอกาสคุยกัน ก่อนที่เข้าที่พัก
3. วาระและโอกาสในการดื่ม หรือนิยมดื่มตามเทศกาลพบกลุ่มตัวอย่างมากถึง 34.19% ที่ไม่ได้ดื่มเป็นประจำ แต่มักดื่มตามวาระพิเศษ เช่น งานวันเกิดเพื่อน งานเลี้ยงบริษัท งานเทศกาล อย่างสงกรานต์ งานบวช งานแต่งงาน ฯลฯ
และ 4. สถานการณ์ปัญหาชีวิต ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการดื่มต่อเนื่องและเพิ่มระดับดีกรีที่มีความเข้มข้นมากขึ้น ได้แก่ ปัญหาครอบครัว 28.91% รองลงมาปัญหาความรัก 25.59% และปัญหาการทำงาน 23.63%
นางสาวปุณิกา กล่าวต่อว่า ส่วนผลกระทบจากการดื่มของแรงงานหญิง พบว่ามีความเสี่ยงต่อการถูกลวนลาม 15.39% ทั้งยังพบพฤติกรรมการดื่มของแรงงานหญิง ส่งผลให้ถูกล่วงละเมิดทางเพศจากผู้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 7.92% ก่อให้เกิดอุบัติเหตุ 78.72% อย่างไรก็ตาม ยังนำไปสู่ความขัดแย้งทะเลาะวิวาทในครอบครัวกว่า 25.67% ครอบครัวไม่เข้าใจกัน 24.10% ครอบครัวมีเวลาให้กันน้อยลง 21.51% ซึ่งความถี่ของการทะเลาะวิวาทในครอบครัวเป็นบางครั้งมีมากกว่า 73.68% โดยระดับความรุนแรง 77.98% การมีปากเสียง 13.15% ทำร้ายร่างกาย และได้รับบาดเจ็บต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 7.34%
“ที่น่าห่วงคือแรงงานหญิงบางรายมีพฤติกรรมดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะตั้งครรภ์ 5.55% ซึ่งอายุการตั้งครรภ์ระหว่าง 0-3 เดือน รองลงมา 4-6 เดือน และ 7-9 เดือน ทั้งนี้ การดื่มของแรงงานหญิงยังส่งผลต่อการทำงาน คือ มีปัญหากับนายจ้าง 20.32% มีปัญหาขาดงาน 35.72% ส่งผลต่อการทำงานล่วงเวลา (OT) 39.11% อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยดังกล่าว สะท้อนให้เห็นวงจรชีวิต ผลกระทบ และแนวโน้มของพฤติกรรมการดื่ม จะขึ้นอยู่กับสภาวะการถูกกดทับจากสภาพการทำงานและสิ่งแวดล้อมในสังคม ที่มีผลต่ออารมณ์ ความรู้สึก ทัศนคติ การดื่มจึงเป็นช่องทางระบายความรู้สึก มีพื้นที่ปลดปล่อยความรู้สึก ดังนั้นการสร้างพื้นที่เรียนรู้และเข้าใจวิถีชีวิตของแรงงานหญิงจึงเป็นสิ่งสำคัญ เช่น การจัดตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาในโรงงาน ส่งเสริมกิจกรรมการรวมกลุ่มเพื่อพัฒนาพัฒนาศักยภาพแรงงานหญิง การจัดการภาวะทางอารมณ์ ส่งเสริมทักษะชีวิตด้านจัดการปัญหา และควรมีการพัฒนาสภาพการทำงานและสภาพการจ้างงานให้ดีขึ้น” นางสาวปุณิกา กล่าว
ด้านนางสุรินทร์ พิมพา ผู้นำแรงงานหญิงกลุ่มสหภาพแรงงานอ้อมน้อย-อ้อมใหญ่ จ.สมุทรสาคร และ จ.นครปฐม กล่าวว่า ปัญหาแรงงานหญิงกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องแก้ไข อย่างจริงจัง รวมถึงการถูกละเมิดสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง เช่น ช่วงการลาคลอด มีระยะเวลาสั้นเกินไป หรือแม้กระทั่ง การถูกปลดออก ทั้งที่มีกฎหมายห้ามปลดออกอย่างชัดเจน ซึ่งสหภาพแรงงานมีข้อเรียกร้องรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสำนักงานประกันสังคม ให้ดูแลปัญหาแรงงานถูกละเมิดสิทธิ์ และเข้มงวด ในการให้กฎหมายสามารถทำงานได้จริง ไม่ใช่ยังคงสวนทางกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตแรงงาน
“อยากให้แก้ปัญหายกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานหญิงลดพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นายจ้างหรือบริษัทควรมีกฎระเบียบเข้มงวดห้ามดื่มในวันทำงาน และคืนก่อนวันทำงาน เพื่อป้องกันการเมาค้างและลงโทษผู้ที่ยังมีอาการเมาค้าง มาสาย ขาดงาน และมีมาตรการส่งเสริมผู้เลิกดื่ม เช่น เพิ่มรายได้หรือสวัสดิการหรือร่วมออมเงินกับผู้เลิกดื่ม จะช่วยให้ลดนักดื่มเพิ่มผลิตผลของงานได้ นอกจากนี้ปัญหาแรงงานหญิงตั้งครรภ์ทั้งคนไทยและพม่ายังถูกกดขี่ บางคนถูกไล่ออก หรือเมื่อเกิดอุบัติเหตุในระหว่างทำงานก็ไม่ได้รับการดูแล จึงอยากขอให้ หน่วยงานที่เกี่ยวเรื่องนี้ทั้งกระทรวง ทบวง กรม และสำนักงานประกันสังคม เข้ามาดูแลอย่างจริงจัง” นางสุรินทร์ กล่าว
ขณะที่ รศ.ดร.กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์ นักวิชาการด้านแรงงาน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า แม้ตอนนี้จะมีเครือข่ายที่ทำงานรณรงค์ลดละเลิกการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่อาจไม่เพียงพอหากภาครัฐยังไม่เข้ามามีส่วนร่วมควบคุมออกมาตรการแก้ไขปัญหานำไปสู่การลดพฤติกรรมการดื่มอย่างจริงจัง ทั้งนี้โดยภาพรวมยังพบปัญหาที่สำคัญอีกเรื่อง คือ ปัญหาแรงงานนอกระบบ ที่จะต้องผลักดันให้เข้ามาสู่ประกันสังคม รวมทั้งประกันสังคมต้องเป็นองค์กรอิสระ ไม่ขึ้นอยู่กับหน่วยงานราชการ เพื่อให้โปร่งใส มีธรรมาภิบาล ขณะเดียวกันไทยกำลังจะเข้าสู่เออีซี สำนักงานประกันสังคมไทยจะต้องเปิดรับเอาแรงงานต่างด้าว ไม่ว่าจะเป็น พม่า ลาว ที่ขณะนี้มีกว่า 2 ล้านคน ที่ไม่ได้ลงทะเบียน ให้เข้ามาสู่ระบบประกันสังคมให้ได้ ให้ขึ้นจากใต้ดินมาอยู่บนดิน เพื่อให้ประกันสังคมมีทรัพยากรเพิ่มมากขึ้นแล้วนำมาปฏิรูป นอกจากนี้ทุกภาคส่วนยังต้องช่วยกันผลักดันในประเด็นมาตรฐานแรงงานอาเซียนควบคู่กันไปด้วย
ที่มา: เว็บไซต์สต็อปดริ้งค์