แรงงานหญิงซดเหล้าถี่หวังระบายทุกข์

          งานวิจัยสะท้อนแรงงานหญิงซดเหล้าถี่ บางรายตั้งท้องยังไม่หยุด ชี้ปัญหาชีวิต ครอบครัว ความรัก การทำงานย่ำแย่ เป็นตัวกระตุ้นให้ดื่มหนัก เสี่ยงถูกลวนลาม ละเมิดทางเพศ ขณะที่ผู้นำแรงงานวอนหยุดละเมิดสิทธิ์แรงงานหญิง ขยายเวลาลาคลอด นักวิชาการเร่งภาครัฐจัดการปัญหา ลดพฤติกรรมการดื่ม แนะจัดการแรงงานใต้ดินเข้าสู่ระบบประกันสังคม

/data/content/24109/cms/e_ijkopqty2579.jpg

          ในงานเสวนา “แกะรอยวิกฤตแรงงานหญิงไทยกับสุรา” เนื่องในวันแรงงานแห่งชาติ ปี 2557 จัดโดย มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทั้งนี้มีกลุ่มสหภาพแรงงาน กลุ่มแรงงานนอกระบบ องค์กรสตรี เข้าร่วมกว่า 40 คน นางสาวปุณิกา อภิรักษ์ไกรศรี อาจารย์ประจำคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยงานวิจัย “ชีวิตแรงงานหญิงกับวงจรเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ปี 2556-2557 โดยสำรวจจากกลุ่มแรงงานหญิงพื้นที่ จ.นนทบุรี เครือข่ายสหภาพแรงงานอ้อมน้อย-อ้อมใหญ่ และแรงงานเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จ.ลำพูน จำนวน 1,667 ราย พบว่า ปัจจัยที่ทำให้แรงงานหญิงมีพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบบต่อเนื่องและเพิ่มระดับดีกรีขึ้น มีดังนี้

         1. ประสบการณ์การดื่มครั้งแรก ซึ่งมีผลต่อการดื่มในครั้งถัดไป เช่น ดื่มครั้งแรกมีประสบการณ์ที่ดี เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีรสชาติดี มีรสชาติหวาน ก็จะกระตุ้นให้ดื่มในครั้งถัดไปและเพิ่มดีกรีมากขึ้นได้ง่าย

          2. กลุ่มเพื่อน มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการดื่มอย่างต่อเนื่อง เพราะกลุ่มตัวอย่างกว่า 39.91% ให้เหตุผลในการดื่มว่า เพื่อสร้างสัมพันธ์กับเพื่อนฝูง 25.90%ดื่มเพราะชอบพูดคุยแลกเปลี่ยนสาระทุกข์สุขดิบ สำหรับช่วงเวลาที่นิยมดื่มคือ วันหยุด หลังเลิกงาน เพื่อที่จะได้มีโอกาสคุยกัน ก่อนที่เข้าที่พัก 

          3. วาระและโอกาสในการดื่ม หรือนิยมดื่มตามเทศกาลพบกลุ่มตัวอย่างมากถึง 34.19% ที่ไม่ได้ดื่มเป็นประจำ แต่มักดื่มตามวาระพิเศษ เช่น งานวันเกิดเพื่อน งานเลี้ยงบริษัท งานเทศกาล อย่างสงกรานต์ งานบวช งานแต่งงาน ฯลฯ 

         และ 4. สถานการณ์ปัญหาชีวิต ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการดื่มต่อเนื่องและเพิ่มระดับดีกรีที่มีความเข้มข้นมากขึ้น ได้แก่ ปัญหาครอบครัว 28.91% รองลงมาปัญหาความรัก 25.59% และปัญหาการทำงาน 23.63% 

/data/content/24109/cms/e_cejlmoqwxy45.jpg

         นางสาวปุณิกา กล่าวต่อว่า ส่วนผลกระทบจากการดื่มของแรงงานหญิง พบว่ามีความเสี่ยงต่อการถูกลวนลาม 15.39% ทั้งยังพบพฤติกรรมการดื่มของแรงงานหญิง ส่งผลให้ถูกล่วงละเมิดทางเพศจากผู้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 7.92% ก่อให้เกิดอุบัติเหตุ 78.72% อย่างไรก็ตาม ยังนำไปสู่ความขัดแย้งทะเลาะวิวาทในครอบครัวกว่า 25.67% ครอบครัวไม่เข้าใจกัน 24.10% ครอบครัวมีเวลาให้กันน้อยลง 21.51% ซึ่งความถี่ของการทะเลาะวิวาทในครอบครัวเป็นบางครั้งมีมากกว่า 73.68% โดยระดับความรุนแรง 77.98% การมีปากเสียง 13.15% ทำร้ายร่างกาย และได้รับบาดเจ็บต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 7.34%

         “ที่น่าห่วงคือแรงงานหญิงบางรายมีพฤติกรรมดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะตั้งครรภ์ 5.55% ซึ่งอายุการตั้งครรภ์ระหว่าง 0-3 เดือน รองลงมา 4-6 เดือน และ 7-9 เดือน ทั้งนี้ การดื่มของแรงงานหญิงยังส่งผลต่อการทำงาน คือ มีปัญหากับนายจ้าง 20.32% มีปัญหาขาดงาน 35.72% ส่งผลต่อการทำงานล่วงเวลา (OT) 39.11% อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยดังกล่าว สะท้อนให้เห็นวงจรชีวิต ผลกระทบ และแนวโน้มของพฤติกรรมการดื่ม จะขึ้นอยู่กับสภาวะการถูกกดทับจากสภาพการทำงานและสิ่งแวดล้อมในสังคม ที่มีผลต่ออารมณ์ ความรู้สึก ทัศนคติ การดื่มจึงเป็นช่องทางระบายความรู้สึก มีพื้นที่ปลดปล่อยความรู้สึก ดังนั้นการสร้างพื้นที่เรียนรู้และเข้าใจวิถีชีวิตของแรงงานหญิงจึงเป็นสิ่งสำคัญ เช่น การจัดตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาในโรงงาน ส่งเสริมกิจกรรมการรวมกลุ่มเพื่อพัฒนาพัฒนาศักยภาพแรงงานหญิง การจัดการภาวะทางอารมณ์ ส่งเสริมทักษะชีวิตด้านจัดการปัญหา และควรมีการพัฒนาสภาพการทำงานและสภาพการจ้างงานให้ดีขึ้น” นางสาวปุณิกา กล่าว

         ด้านนางสุรินทร์ พิมพา ผู้นำแรงงานหญิงกลุ่มสหภาพแรงงานอ้อมน้อย-อ้อมใหญ่ จ.สมุทรสาคร และ จ.นครปฐม กล่าวว่า ปัญหาแรงงานหญิงกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องแก้ไข อย่างจริงจัง รวมถึงการถูกละเมิดสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง เช่น ช่วงการลาคลอด มีระยะเวลาสั้นเกินไป หรือแม้กระทั่ง การถูกปลดออก ทั้งที่มีกฎหมายห้ามปลดออกอย่างชัดเจน ซึ่งสหภาพแรงงานมีข้อเรียกร้องรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสำนักงานประกันสังคม ให้ดูแลปัญหาแรงงานถูกละเมิดสิทธิ์ และเข้มงวด ในการให้กฎหมายสามารถทำงานได้จริง ไม่ใช่ยังคงสวนทางกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตแรงงาน

         “อยากให้แก้ปัญหายกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานหญิงลดพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นายจ้างหรือบริษัทควรมีกฎระเบียบเข้มงวดห้ามดื่มในวันทำงาน และคืนก่อนวันทำงาน เพื่อป้องกันการเมาค้างและลงโทษผู้ที่ยังมีอาการเมาค้าง มาสาย ขาดงาน และมีมาตรการส่งเสริมผู้เลิกดื่ม เช่น เพิ่มรายได้หรือสวัสดิการหรือร่วมออมเงินกับผู้เลิกดื่ม จะช่วยให้ลดนักดื่มเพิ่มผลิตผลของงานได้ นอกจากนี้ปัญหาแรงงานหญิงตั้งครรภ์ทั้งคนไทยและพม่ายังถูกกดขี่ บางคนถูกไล่ออก หรือเมื่อเกิดอุบัติเหตุในระหว่างทำงานก็ไม่ได้รับการดูแล จึงอยากขอให้ หน่วยงานที่เกี่ยวเรื่องนี้ทั้งกระทรวง ทบวง กรม และสำนักงานประกันสังคม เข้ามาดูแลอย่างจริงจัง” นางสุรินทร์ กล่าว

         ขณะที่ รศ.ดร.กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์ นักวิชาการด้านแรงงาน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า แม้ตอนนี้จะมีเครือข่ายที่ทำงานรณรงค์ลดละเลิกการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่อาจไม่เพียงพอหากภาครัฐยังไม่เข้ามามีส่วนร่วมควบคุมออกมาตรการแก้ไขปัญหานำไปสู่การลดพฤติกรรมการดื่มอย่างจริงจัง ทั้งนี้โดยภาพรวมยังพบปัญหาที่สำคัญอีกเรื่อง คือ ปัญหาแรงงานนอกระบบ ที่จะต้องผลักดันให้เข้ามาสู่ประกันสังคม รวมทั้งประกันสังคมต้องเป็นองค์กรอิสระ ไม่ขึ้นอยู่กับหน่วยงานราชการ เพื่อให้โปร่งใส มีธรรมาภิบาล ขณะเดียวกันไทยกำลังจะเข้าสู่เออีซี สำนักงานประกันสังคมไทยจะต้องเปิดรับเอาแรงงานต่างด้าว ไม่ว่าจะเป็น พม่า ลาว ที่ขณะนี้มีกว่า 2 ล้านคน ที่ไม่ได้ลงทะเบียน ให้เข้ามาสู่ระบบประกันสังคมให้ได้ ให้ขึ้นจากใต้ดินมาอยู่บนดิน เพื่อให้ประกันสังคมมีทรัพยากรเพิ่มมากขึ้นแล้วนำมาปฏิรูป นอกจากนี้ทุกภาคส่วนยังต้องช่วยกันผลักดันในประเด็นมาตรฐานแรงงานอาเซียนควบคู่กันไปด้วย

 

 

 

         ที่มา: เว็บไซต์สต็อปดริ้งค์

Shares:
QR Code :
QR Code