แพทย์พื้นบ้าน”สร้างสุข”ชุมชน
สืบสานภูมิปัญญารักษาโรคด้วย “สมุนไพร”
จากผลการสำรวจขององค์การเภสัชกรรมพบตัวเลขที่น่าตกใจว่า คนไทยรับประทานยาแก้ปวดหรือพาราเซตามอลสูงถึง 100 ล้านเม็ดต่อปี และพึ่งพายาแผนปัจจุบันอย่างพร่ำเพรื่อ สิ้นเปลืองค่ายาเป็นจำนวนมาก ซ้ำร้ายยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ทั้งๆ ที่อาการการเจ็บไข้ได้ป่วยหลายอย่างนั้นสามารถรักษาได้ง่ายๆ เพียงแค่ใช้สมุนไพรที่มีอยู่ในบ้าน
สาเหตุหนึ่งมาจากภูมิปัญญาด้านการแพทย์พื้นบ้านของไทยนั้นกำลังถูกลืมหาย เพราะขาดการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านสมุนไพรสู่คนรุ่นใหม่ “ภาคีเครือข่ายหมอพื้นบ้านจังหวัดตรัง” ได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวจึงร่วมกับ สถานีอนามัยบ้านสะพานเคียน ต.วังมะปราง อ.วังวิเศษ จ.ตรัง จัดทำ “โครงการสร้างสุขภาพชุมชนด้วยภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้านจังหวัดตรัง” ขึ้นโดยรวมกลุ่มแพทย์พื้นบ้านสร้าง “ศูนย์การเรียนรู้หมอพื้นบ้าน” เพื่อศึกษาและรวมรวมข้อมูลสมุนไพรในท้องถิ่น และใช้ภูมิปัญญาพื้นบ้านผสมผสานกับการแพทย์แผนปัจจุบันให้บริการด้านสุขภาพทางเลือกกับประชาชน โดยมี สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ให้การสนับสนุน
นายธัญญา หนูเริก หัวหน้าสถานีอนามัยสะพานเคียน กล่าวถึงการตั้ง “ศูนย์การเรียนรู้หมอพื้นบ้าน ว่าเพื่อให้เกิดการรวมกลุ่มหมอพื้นบ้านของอำเภอวังวิเศษและจังหวัดตรัง เพราะแพทย์พื้นบ้านส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ถ้าไม่มีการสืบทอดเอาไว้ต่อไปก็คงจะต้องสูญหาย ยิ่งในปัจจุบันชาวบ้านมักจะหันไปพึ่งการรักษาจากโรงพยาบาลกันมากขึ้น เสียทั้งค่ายาและค่าเดินทางจำนวนมาก ซึ่งบางโรคที่เจ็บป่วยอาจจะดูแลรักษาเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง ทำให้เกิดแนวคิดเรื่องแพทย์ทางเลือกใช้ยาสมุนไพรในการบำบัดรักษาโรคให้กับคนในชุมชน โดยจะมีหมอพื้นบ้านอย่างน้อย 2 คนสลับผลัดเปลี่ยนกันมาประจำอยู่ที่สถานีอนามัยทุกวัน
“ชาวบ้านมีความศรัทธาในตัวแพทย์พื้นบ้านมาแต่เดิม ยิ่งทางสถานีอนามัยให้การสนับสนุนชาวบ้านก็ยิ่งเชื่อมั่นในการรักษาเพิ่มขึ้น โดยทางอนามัยจะมีการในการคัดกรองผู้ป่วยเบื้องต้น ถ้าดูแล้วว่าบางโรคเขาสามารถใช้บริการรักษาด้วยการแพทย์แผนพื้นบ้านได้ก็จะให้คำแนะนำว่ามีทางเลือกในการรักษาให้กับชาวบ้าน ซึ่งผู้ป่วยสามารถเลือกที่จะรักษาด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์พื้นบ้าน หรือจะรักษาควบคู่กันไปก็ได้ ซึ่ง โครงการนี้จึงส่งผลดีกับสุขภาพของคนในชุมชน ส่วนหนึ่งถ้าเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายเดินทางไปรักษาในตัวเมือง ซึ่งเสียทั้งเงินและเวลา แล้วชาวบ้านก็จะสามารถพึ่งพาตนเองได้จากสมุนไพรพื้นบ้านในการรักษาตัวเองเบื้องต้น เป็นอะไรเล็กน้อยก็ไม่จำเป็นต้องไปซื้อยามากิน” นายธัญญาระบุ
นายจิตร บุญเลื่อง อายุ 68 ปี ประธานกลุ่มหมอพื้นบ้านวังวิเศษ และหัวหน้าโครงการฯ เล่าว่าในอดีตเมื่อชาวบ้านเจ็บป่วยก็จะนึกถึงหมอพื้นบ้านก่อน แต่ปัจจุบันเมื่อป่วยก็จะนึกถึงโรงพยาบาลก่อน โดยมองข้ามแม้กระทั่งสถานีอนามัยในท้องถิ่น เพราะคนรุ่นใหม่ไม่รู้จักและไม่รู้ว่ามีหมอพื้นบ้านอยู่ในชุมชน จึงมาคิดกันว่าจะทำอย่างไรให้ภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้านเหล่านี้ไม่สูญหายไป
“องค์ความรู้ด้านสมุนไพรและการรักษาโรคต่างๆ ทางศูนย์การเรียนรู้ฯ ได้มีการศึกษาและรวบรวมไว้แล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือทำอย่างไรที่จะให้ความรู้เหล่านี้ถูกพัฒนาไปเป็นหลักสูตรการเรียนการสอนของท้องถิ่น ทำอย่างไรให้ผู้บริหารสถาบันการศึกษาในท้องถิ่นหันมาสนใจภูมิปัญญาแขนงนี้ ซึ่งจะทำให้เยาวชนได้เห็นประโยชน์และคุณค่าของสมุนไพรในท้องถิ่น เพื่ออนุรักษ์ภูมิปัญญาพื้นบ้านที่มีคุณค่าเหล่านี้ไม่ให้สูญหายไป และเป้าหมายอีกอย่างหนึ่งก็คือการพัฒนาและส่งเสริมให้การแพทย์พื้นบ้านและตัวของหมอพื้นบ้านให้ที่เป็นยอมรับกันมากขึ้น ซึ่งจะสามารถช่วยให้ชาวบ้านหายป่วยได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลจำนวนมาก” หมอจิตรกล่าว
นายนวย รอดรัตน์ อายุ 58 ปี หมอพื้นบ้านที่ชำนาญด้านสมุนไพรและการนวดแผนโบราณบอกว่าโรคส่วนใหญ่ที่ชาวบ้านมารับการรักษาด้วยการแพทย์พื้นบ้านมักจะเป็นอาการเจ็บป่วยที่เกิดจากการทำงานหนักเช่นปวดเมื่อยตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
“การรักษาก็จะใช้ตั้งแต่การต้มยาสมุนไพร การนวดประคบ กดจุดจับเส้น โดยในการรักษาแต่ละครั้งไม่ได้คิดค่าใช้จ่ายในการรักษา แล้วแต่ผู้ที่มารักษาจะให้เอง เพราะเราทำด้วยใจอยากให้คนรุ่นใหม่ได้เห็นว่าการักษาด้วยการแพทย์พื้นบ้านนั้นใช้รักษาโรคต่างๆ ได้จริง” หมอนวยกล่าว
ซึ่งนับตั้งแต่มีแพทย์ทางเลือกขึ้นภายในสถานบริการด้านสุขภาพของรัฐนั้น หัวหน้าสถานีอนามัยสะพานเคียนยังกล่าวเสริมด้วยว่า นอกจากจะช่วยลดภาระของเจ้าหน้าที่แล้ว ยังช่วยให้เจ้าหน้าที่มีเวลาออกเยี่ยมชุมชน ดูแลผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรัง ผู้หญิงหลังคลอด ติดตามเด็กที่ไม่ได้รับวัคซีนนอกสถานที่มากขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดการทำงานเชิงรุกด้านแผนสุขภาพให้กับชุมชนได้มากขึ้น
“ชาวบ้านบางคนที่มีอาการไม่มากและกินยาของแพทย์แผนปัจจุบันอยู่แล้ว เราก็จะแนะนำการแพทย์พื้นบ้านเป็นทางเลือกหรือใช้ยาสมุนไพรรักษาควบคู่กันไป อย่างคนที่เป็นอัมพฤษ์กินยารักษาของแพทย์แผนปัจจุบัน แล้วใช้วิธีการนวดจับเส้นของแพทย์พื้นบ้านเข้ามาช่วยทำการรักษาด้วยเป็นการช่วยบำบัด ช่วยการสร้างกำลังใจให้กับผู้ป่วยอีกทางหนึ่ง” นายธัญญากล่าว
นพ.ลือชา วนรัตน์ คณะกรรมการบริหารแผน สำนักสนับสนุนโครงการเปิดรับทั่วไป สสส. กล่าวถึงการนำการแพทย์พื้นบ้านเข้ามาช่วยเสริมการบริการด้านสุขภาพภายในสถานีอนามัยหรือโรงพยาบาลชุมชนว่า เป็นสิ่งที่ดีสำหรับประชาชนเพราะปัญหาด้านสุขภาพหลายๆ ไม่จำเป็นต้องใช้รักษาด้วยวิธีทางแพทย์แผนปัจจุบัน แต่สามารถที่จะให้การดูแลป้องกันส่งเสริมสุขภาพหรือบำบัดฟื้นฟูได้ด้วยการแพทย์พื้นบ้านหรือแพทย์แผนไทย
“เพราะภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้านของไทยจะให้ความสนใจในเรื่องของจิตใจควบคู่ไปกับการรักษา จิตใจกับร่างกายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาสุขภาพ ถ้ามีปัญหาทางกายแล้วไม่ได้ดูแลปัญหาทางจิตใจ ก็อาจจะทำให้โรคภัยไข้เจ็บหายช้าลง แต่การแพทย์แผนไทยหรือการแพทย์พื้นบ้านมักจะมีการดูแลในด้านจิตใจด้วย ผู้ที่มารับบริการก็มักที่จะได้รับการดูแลเอาใจใส่ที่มากกว่า แล้วก็จะฟื้นตัวหรือหายจากการเจ็บไข้ได้ป่วยได้เร็วขึ้น” นพ.ลือชากล่าวสรุป
ที่มา : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส.
update 09-03-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : ฤทัยรัตน์ ไกรรอด