แผนงานเด็กไทยไม่กินหวาน ชวน ‘โรงเรียน’ หนีภัย ‘อ้วน’

จัด มาตรการปิดรั้วฉิก ฉิก งดขายขนมหวานให้วัยโจ๋

 

แผนงานเด็กไทยไม่กินหวาน ชวน ‘โรงเรียน’ หนีภัย ‘อ้วน’

 

ทุกวันนี้คนไทยบริโภคน้ำตาลเกินความจำเป็นของร่างกาย ตามสถิติพบว่า คนไทยกินน้ำตาลเฉลี่ยวันละ 16 ช้อนชา ในขณะที่ค่าเฉลี่ยการกินหวานของคนทั่วโลกเฉลี่ยวันละ 11 ช้อนชา ทั้งๆ ที่ปริมาณน้ำตาลระดับพอดีต่อร่างกายเฉลี่ยอยู่ที่วันละ 6 ช้อนชาเท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบปริมาณการบริโภคน้ำตาลของคนไทย กับค่าเฉลี่ยคนทั่วโลกจะเห็นว่า คนไทยเป็นนักกินหวานที่สุดระดับหนึ่ง ซึ่งเด็กไทยจำนวนมากในปัจจุบันได้รับน้ำตาลจากการกินขนม นมหวาน นมเปรี้ยว และน้ำอัดลมมากเกินควร ส่งผลให้เด็กไทยเป็นโรคอ้วนมากขึ้นทุกวัน ซึ่งจะมีโรคแทรกซ้อน เช่น โรคเบาหวาน ฟันผุ หากไม่รีบดำเนินการแก้ไข รับรองว่า อนาคตของชาติต้องประสบปัญหาทางสุขภาพอย่างแน่นอน

 

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ แผนงานรณรงค์เพื่อเด็กไทยไม่กินหวาน จัดประชุมโครงการ รวมพลคนอ่อนหวาน บูรณาการและสร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อเด็กไทยสุขภาพดี โดยมีการให้ความรู้ในการควบคุม การส่งเสริมการขายในสถานศึกษา (food marketing in school) เพื่อเสนอแนะเชิงนโยบาย ในเรื่องการจำหน่ายขนมและเครื่องดื่มในโรงเรียนเพื่อสุขภาพ มีการประเมินวิธีการที่เป็นไปได้และเหมาะสมกับโรงเรียน เพื่อนำข้อเสนอแนะเข้าสู่การทำแผนฯ ของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนและติดตาม มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 2 หลังพบบางโรงเรียนยังมีการเปิดพื้นที่ให้มีการนำขนม น้ำอัดลมเข้าไปขายในโรงเรียน

 

แผนงานเด็กไทยไม่กินหวาน ชวน ‘โรงเรียน’ หนีภัย ‘อ้วน’

 

ทพญ.จันทนา อึ้งชูศักดิ์ ผู้จัดการแผนงานรณรงค์เพื่อเด็กไทยไม่กินหวาน สสส. กล่าวว่า ผลการสำรวจเรื่องการตลาดอาหารในโรงเรียน พ.ศ. 2552 พบว่า เด็ก คือ เป้าหมายใหม่ทางการตลาดสินค้าเฉพาะกลุ่ม และ โรงเรียน เป็นสถาบันทางสังคมที่มีอิทธิพลต่อชีวิตและสังคมของเด็ก ที่จะถ่ายทอดอุดมการณ์ มีการกล่อมเกลาทางสังคม เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเด็กที่อยู่ในโรงเรียน ด้วยการสร้างแรงดึงดูดในการขายสินค้า ซึ่งนำไปสู่การการตลาดเพื่อเพิ่มยอดขาย ด้วยการอาศัยช่องว่างเมื่ออาหารมีไม่เพียงพอ เนื่องจากขาดงบประมาณสนับสนุนจากรัฐ จึงทำให้เกิดรูปแบบทางการตลาดในโรงเรียนขึ้น 4 ด้าน คือ 1.การขายผลิตภัณฑ์โดยตรง เช่น สิทธิในการเติม 2.การโฆษณาผลิตภัณฑ์โดยตรง เช่น ป้ายโฆษณาและโลโก้ตามที่ต่างๆ แจกตัวอย่างสินค้า สิ่งพิมพ์ของโรงเรียน สื่อในโรงเรียน 3.การโฆษณาผลิตภัณฑ์ทางอ้อม การให้นักเรียนใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทผ่านกิจกรรมในโรงเรียน 4.การทำวิจัยผลิตภัณฑ์ สำรวจทางการตลาดและให้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ ฉะนั้น จึงอยากเชิญชวนครูในโรงเรียน ผู้ปกครอง รณรงค์ห้ามให้ขายขนมที่มีส่วนผสมของน้ำตาลกับเด็กเพื่อสุขภาพที่ดี

 

ด้าน นายชาติชาย มุกสง นักวิชาการอิสระ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กล่าวว่า มาตรการในเรื่อง การตลาดอาหารสำหรับเด็กในโรงเรียน ของประเทศต่างๆ จะมีดังนี้ คือ 1.การประกาศใช้มาตรการ และกฎเกณฑ์ทั่วไป สำหรับสังคม ทั้ง กฎหมายบังคับและการขอความร่วมมือ 2.การส่งเสริมให้รู้เท่าทันสื่อ 3.การจัดการสิ่งแวดล้อมด้านอาหารที่ดีต่อสุขภาพขึ้นในโรงเรียน โรงอาหาร ร้านค้า ตู้ขายต้องเป็นอาหารสุขภาพ 4.การสร้างสุขลักษณะนิสัยให้เกิดขึ้นในโรงเรียน การกิน และการออกกำลังกาย 5.สร้างกลไกการจัดการอาหารในโรงเรียนแบบใหม่ จากไร่สู่โรงเรียน ซึ่งการออกมาตรการเหล่านี้ ในต่างประเทศพบว่า ประเทศเวียดนามมีการออกกฎหมายห้ามนำผลิตภัณฑ์ต่างๆ เข้ามาขายในโรงเรียน ประเทศบรูไนห้ามขายน้ำอัดลม ขนมกรุบกรอบในโรงเรียน ฉะนั้น ประเทศไทยต้องมีหน่วยงานขึ้นมารับผิดชอบชัดเจน ในภารกิจซึ่งน่าจะเป็นเครือข่าย มีการกำหนดนโยบายต้องสอดคล้องกับสถานการณ์ทางการเมือง และความต้องการของสังคม สอดคล้องกับศักยภาพ และความพร้อมของแต่ละโรงเรียน สร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับมาตรการการจัดการอาหารในโรงเรียน ไม่จำเป็นต้องรอทำพร้อมกัน

 

ขณะที่ นางกุลพร สุขุมาลตระกูล นักวิชาการโภชนาการ กรมอนามัย กล่าวว่า จากผลการศึกษาเรื่องการจำหน่ายเครื่องดื่มในโรงเรียน โดยการคัดเลือกโรงเรียนแบบเฉพาะเจาะจง ที่เป็นโรงเรียนขนาดกลางและขนาดใหญ่ ที่มีเครื่องดื่มหลากหลายชนิดจำหน่าย จำนวน 32 แห่ง สำรวจร้านค้าที่จำหน่ายเครื่องดื่มภายในโรงเรียนทุกร้าน นำตัวอย่างเครื่องดื่มยอดนิยมของนักเรียนอย่างน้อยจำนวนโรงเรียนละ 4 ตัวอย่าง รวม 128 ตัวอย่าง นำผู้ปรุงหรือผู้ผสมเครื่องดื่มจำหน่ายภายในโรงเรียน ทุกคน พบว่า มีปริมาณการใช้น้ำตาลผสมในเครื่องดื่มจำหน่าย น้ำหวานเข็มข้นใส่น้ำแข็ง มีค่าเฉลี่ยสูงเป็น 2 เท่าของข้อแนะนำ หรือประมาณ 5 ช้อนชา ส่วนน้ำปั่น มีค่าเฉลี่ยประมาณ 2.5 ช้อนชา ตามเกณฑ์กำหนดคือ น้ำตาลไม่เกินร้อยละ 10

 

นางกุลพร ยังได้บอกเล่าถึงการศึกษาสถานการณ์การจำหน่ายน้ำอัดลมในโรงเรียนพื้นที่นำร่อง 19 จังหวัด ที่เข้าร่วมโครงการเด็กไทยไม่กินหวาน จากข้อมูลกองทันตสาธารณสุข กรมอนามัย ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่า ร้อยละ 20 ของโรงเรียนประถมศึกษา จำหน่ายน้ำอัดลม และเด็กดื่มน้ำอัดลมเฉลี่ยวันละ 1 ครั้ง และสูงสุด 3 ครั้ง ปริมาณเฉลี่ย 200 มิลลิลิตร หรือเกือบ 1 กระป๋อง ทำให้ได้รับน้ำตาลเฉลี่ย 7.4 ช้อนชาต่อครั้ง เกินปริมาณที่ร่างกายต้องการ วันละ 6 ช้อนชา โดยน้ำอัดลมชนิดน้ำดำ เป็นน้ำอัดลมที่เด็กชอบดื่มมากที่สุด ถึงร้อยละ 72 ซึ่งอาจจะส่งผลต่อปัญหาสุขภาพ อาทิ ฟันผุ ภาวะโภชนาการเกิน นำไปสู่โรคเรื้อรังต่างๆ เมื่ออายุมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เด็กเป็นอนาคตของชาติ หากมีปัญหาด้านสุขภาพแล้ว ย่อมส่งผลต่อพลังในความคิด อ่าน หรือสร้างสรรค์สิ่งต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อชาติ ปิดรั้วโรงเรียน ห้ามนำขนมกรุบกรอบ น้ำอัดลม ขายให้เด็ก ตามมาตรการของต่างประเทศ หลังพบไทยกินหวานมากที่สุด!!!

 

 

 

 

 

ที่มา : แผนงานรณรงค์เพื่อเด็กไทยไม่กินหวาน

 

 

update : 18-11-53

อัพเดทเนื้อหาโดย :  ศิรินทิพย์ อิสาสะวิน

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code