แนะรัฐเก็บภาษีเพิ่มสถานบันเทิงผับบาร์
ป้องกันนักดื่มหน้าใหม่
เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา เครือข่ายองค์กรงดเหล้า และภาคีเครือข่ายป้องกันภัยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เดินทางไปที่กระทรวงการคลังเพื่อขอบคุณรัฐบาลที่ได้ออกมาตรการขึ้นภาษีสรรพสามิต อันส่งผลดีต่อการควบคุมปัญหาจากการบริโภคน้ำเมา และป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ พร้อมกับเสนอรัฐบาลเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มเติม
แถลงการณ์ระบุว่า ด้วยมีมติคณะรัฐมนตรีในวันที่ 6 พฤษภาคม 2552 ให้ปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งเบียร์ สุราขาว สุราผสม และบรั่นดี เพิ่มขึ้น 7-9% ทำให้ราคาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในท้องตลาดสูงขึ้นประมาณ 2.5-5 บาทต่อขวดในทันที
แม้จะเป็นการขยับขึ้นไม่เต็มที่ และสร้างเม็ดเงินให้กับรัฐบาลได้ไม่มากเท่าที่สามารถจะทำได้ก็ตาม แต่ผลที่ตามมาอีกด้านหนึ่ง ซึ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่ากันคือ การช่วยลดการบริโภคและลดผลกระทบจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พิสูจน์ได้จากงานวิจัยทั่วโลก เป็นเครื่องยืนยันถึงประสิทธิผลของมาตรการทางภาษีต่อการลดการบริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่เยาวชน
เมื่อปริมาณการดื่มลดลง ทำให้ประชาชนโดยภาพรวมจะได้รับการคุ้มครองจากการควบคุมปัญหา จากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ไม่เหมาะสม ทั้งในด้านอุบัติเหตุ ความรุนแรงในครอบครัว ความรุนแรงในหมู่เยาวชน อาชญากรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาชญากรรมเด็กที่เกิดจากการเมา และปัญหาสุขภาพ เช่น สมองเสื่อม มะเร็งในหลายอวัยวะ โรคตับแข็ง โรคพิษสุราเรื้อรัง โรคจิตจากการดื่มสุรา เป็นต้น
ทั้งนี้ สถานการปัญหาจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปัจจุบัน พบว่าอัตราการตายและบาดเจ็บจากอุบัติเหตุจราจรทางบกปีละเหตุประมาณ 40-60% ที่สำคัญที่สุดคือเยาวชนดื่มกันมากขึ้น และอายุที่เริ่มดื่มน้อยลงเรื่อยๆ
ปัจจุบันทางองค์การอนามัยโลกได้ให้ความสนใจระบบภาษีสองเลือกหนึ่งของประเทศไทยเป็นอย่างมาก บนหลักการ “ทำลายสุขภาพมากเสียภาษีมาก ฟุ่มเฟือยมากเสียภาษีมาก” ด้วยวิธีคิดภาษีแบบผสมคือ คิดภาษีตามปริมาณแอลกอฮอล์ (Specific) และคิดภาษีตามมูลค่า (Ad Vabrem) แล้วเลือกเก็บภาษีในวิธีที่ให้ภาษีมากกว่า หรือเรียกได้ว่า “ระบบสองเลือกหนึ่ง”
นอกจากจะเป็นวิธีที่ทำให้ได้เม็ดเงินภาษีเข้ารัฐ มากกว่าวิธีคิดภาษีตามปริมาณเพียงอย่างเดียวแล้ว ยังเป็นวิธีที่คุ้มครองสุขภาพและสังคมเช่นเดียวกันอีกด้วย การขึ้นภาษีในครั้งนี้ จึงมีความหมายในหลายมิติ มากกว่าการมองแค่สร้างรายได้ให้รัฐบาลเพียงอย่างเดียว
เครือข่ายองค์กรงดเหง้า และภาคีเครือข่ายจึงขอขอบคุณกระทรวงการคลังและรัฐบาลเป็นอย่างยิ่งในการผลักดันมาตรการนี้ และขอเสนอมาตรการที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดังนี้
1.ขอให้เร่งสร้างกลไกการจัดเก็บภาษี สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ และสถานบริการอื่นที่ให้ความบันเทิงในรูปแบบใกล้เคียงกับไนต์คลับและดิสโก้เธค และขอให้มีการปรับขึ้นภาษี จากอัตราร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 15-20
2.ขอให้มีการขึ้นราคาใบอนุญาตขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้สูงขึ้นและมีความยากขึ้น รวมทั้งพิจารณากลไกสร้างความเป็นธรรมให้ผู้ประกอบการที่มีใบอนุญาตถูกต้อง จัดการกับร้านค้าที่ไม่มีใบอนุญาต รวมถึงการออกใบอนุญาตดังกล่าว ต้องพิจารณาพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2552 ควบคู่ไปด้วย เพื่อจำกัดการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ง่ายเกินไป เช่น ไม่ออกใบอนุญาตให้ร้านที่ขายเร่ ร้านค้าในสถานศึกษาหรือในสาธารณะ เป็นต้น และควรรวมถึงการไม่ออกใบอนุญาตให้ร้านที่อยู่ใกล้สถานศึกษาหรือใกล้ศาสนสถานมากเกินไปด้วย
นพ.พฤฒิชัย กล่าวภายหลังเครือข่ายองค์กรงดเหล้าเข้าพบว่า กระทรวงการคลังตั้งใจจะดูแลเรื่องนี้ให้เต็มที่และเกิดความเป็นธรรม หลังจากทางเครือข่ายได้มายื่นข้อเรียกร้องให้ขึ้นภาษีสุรา ก็มีการเตรียมการอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ต้องต่อสู้เยอะพอสมควร นอกจากหวังผลในการลดการบริโภคลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขแล้วการจำกัดการเข้าถึงของเด็กและเยาวชนก็มีส่วนสำคัญ เพราะเมื่อเทียบกับทั่วโลกแล้ว บ้านเรายังเข้าถึงเบียร์-เบียร์ง่ายเกินไป
“เม็ดเงินที่ได้จากส่วนนี้จะมีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะในการสร้างเสริมสุขภาพของประชาชน เช่น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ อสม. ยกระดับสถานีอนามัย เป็นต้น การจัดระเบียบอบายมุขเป็นเรื่องที่ตั้งใจอยู่แล้ว ต้องทำร่วมกับหลายกระทรวง เรื่องการขึ้นภาษีสถานบันเทิง ผับ บาร์ นั้นมีความคืบหน้าไปมากพอสมควร ส่วนที่เสนอให้ขึ้นใบอนุญาตขายเหล้า เบียร์ รวมถึงการไม่ควรขออนุญาตให้ขายใกล้วัด ใกล้โรงเรียน จะหารือกับอธิบดีในวันนี้” รมช.คลัง กล่าว
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
Update 15-05-52
อัพเดทเนื้อหาโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์