แนะพูดคุยช่วยเหลือคนคิดสั้นแทนถ่ายคลิป
ที่มา : MGR Online
แฟ้มภาพ
กรมสุขภาพจิต ขอสังคมไทยเข้าช่วยเหลือคนคิดสั้น "ฆ่าตัวตาย" แทนการถ่ายคลิปอวดโซเชียล เห็นเหตุการณ์เป็นคนแรก แนะชวนพูดคุย 1-5 นาที เวยท่าทียิ้มแย้ม ไม่ไปฉุดรั้งตัว ช่วยฉุดอารมณ์ชั่ววูบให้มีสติขึ้น อย่ากลัวว่าจะไปกระตุ้นให้ตัดสินใจเร็วขึ้น
น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวถึงกรณีการถ่ายคลิปผู้ที่จะทำร้ายตัวเอง เช่น กระโดดสะพาน เป็นต้น ว่า เรื่องนี้เป็นปรากฏการณ์ใหม่ในสังคมไทย ที่ควรเรียนรู้และทำความเข้าใจก่อนที่จะบานปลายหรือกลายเป็นความเคยชินหรือภาคภูมิใจว่าเป็นคนที่เห็นก่อนใคร การถ่ายคลิปและแชร์ต่อ อาจจะเป็นการซ้ำเติมผู้ที่ทำร้ายและจบชีวิตของตัวเองรวมทั้งครอบครัวด้วย อีกมุมหนึ่งที่อยากให้สังคมเปลี่ยนความคิดจากการคอยบันทึกภาพนาทีแห่งชีวิตของคนอื่นที่เราเป็นผู้เห็นก่อน เป็นการให้ความช่วยเหลือชีวิตเขาแทน เนื่องจากภาวะตึงเครียดทางจิตใจ สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในสังคมปัจจุบันที่มีปัจจัยเสี่ยงจากหลายเรื่อง ทั้งจากการดำเนินชีวิต การแข่งขัน การขาดภูมิคุ้มกันทางใจ ปัญหาสุขภาพต่างๆ เมื่อรุมเร้าเข้ามาในชีวิตมากมาย บางคนหาทางระบายปัญหาออกไม่ได้ จึงสะสมกลายเป็นผู้มีปัญหาสุขภาพจิต จนถึงขั้นที่เรียกว่ามืดแปดด้าน และตัดสินใจจบชีวิตตัวเองด้วยวิธีการต่างๆ
น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวว่า การที่คนคนหนึ่งยืนบนระเบียงตึก หรือนั่งเหม่อลอยอยู่บนราวสะพานคนเดียว หรือปีนขึ้นที่สูงๆ ถือว่า เป็นพฤติกรรมแสดงออกของผู้ที่เกิดวิกฤตปัญหาทางจิตใจที่หาทางออกชีวิตไม่ได้ และเป็นการส่งสัญญาณ ขอความช่วยเหลือ เมื่อพบเห็นผู้ที่มีพฤติกรรมเหล่านี้ ขอให้รีบให้ความช่วยเหลือแทนการถ่ายคลิป สามารถทำได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ด้วยวิธีการเดินเข้าไปหาและพูดคุยสอบถามด้วยท่าทางยิ้มแย้มเหมือนการทักทายกันตามปกติทั่วไป โดยไม่ต้องกลัวว่าเราจะไปกระตุ้นให้เขาตัดสินใจทำร้ายตัวเองเร็วขึ้น ประการสำคัญคืออย่าไปผลีผลามไปจับฉุดรั้งตัว เพราะอาจทำให้เขาตกใจได้ การชวนพูดคุยแม้เพียงระยะเวลาสั้นๆ แค่ 1-5 นาที ก็มีความหมายมาก เป็นการชะลอ จะทำให้ผู้ที่กำลังคิดสั้นมีอารมณ์ ซึ่งมักเป็นอารมณ์ชั่ววูบ ให้เย็นลงและได้สติขึ้นมา เขาก็จะเลิกคิดทำร้ายตัวเอง ภาพที่เกิดขึ้นทั้งหมดแม้จะไม่ได้บันทึกลงในโลกโซเชียล แต่มันจะอยู่ในโลกของสวรรค์ คือ มีความสุขปีติใจทั้งผู้ช่วยเหลือและผู้รอดชีวิตตลอดไป
นพ.ประภาส อุครานันท์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์ จ.อุบลราชธานี กล่าวว่า ความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีการสื่อสารขณะนี้ ประชาชนสามารถใช้สมาร์ทโฟนและกลายเป็นผู้สื่อสาร สื่อข่าวและรับข่าวรอบด้าน สิ่งที่ทุกคนต้องระมัดระวังและต้องช่วยกันสร้างความตระหนัก คือ ไม่ควรนำเสนอและแชร์ภาพเหตุการณ์คนทำร้ายตัวเองไม่ว่าจะเป็นชนิดสดหรือภาพนิ่ง เพราะจะเป็นการชี้โพรงให้กระรอก ทำให้คนที่กำลังอยู่ในอารมณ์ชั่ววูบเกิดการกระทำเลียนแบบ (Copycat) ได้ จึงควรหลีกเลี่ยงการนำเสนอวิธีการ รายละเอียด สิ่งที่ควรจะเพิ่มเติม คือการช่วยชี้แนะทางออกของชีวิต เพราะการจบชีวิตไม่ได้ทำให้ปัญหาทุกอย่างจบลง จริงอยู่ในขณะนั้นคนเราอาจคิดว่าชีวิตของตัวเองอับจนจริงๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นเพราะอารมณ์ของเราอับจนมากกว่า ดังนั้น หากมีสติขึ้นมา อารมณ์ก็จะปลอดโปร่ง ปัญญาก็จะพรั่งพรู จะมองเห็นทางออกมากมาย หรือโทรปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ซึ่งมีบริการตลอด 24 ชั่วโมง
“คนที่เคยคิดทำร้ายตัวเองไม่ใช่เป็นผู้ป่วยทางจิต แต่เป็นมนุษย์ที่แท้จริง ซึ่งมีอารมณ์ความรู้สึก ต่างจากหุ่นยนต์ และต่างจากคนร้ายที่อาจยิ้มได้บนความทุกข์ของคนอื่น มนุษย์ที่แท้จริงอาจเสียใจในความผิดพลาดของตัวเอง อาจผิดหวังในความปรารถนาดีที่มอบให้คนอื่นได้ ดังนั้นเมื่อคนเหล่านั้นผ่านพ้นช่วงวิกฤติชีวิตมาได้ เราจึงควรชื่นชมและให้กำลังใจ และหากเป็นเพราะชะตากรรมต้องสิ้นลมจากโลกนี้ไป เราก็ควรเคารพการตัดสินใจ และให้กำลังใจญาติรวมถึงคนรอบข้าง” นพ.ประภาส กล่าว