แนะปรับพฤติกรรมเสี่ยงตาบอด

ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทยเดินหน้าสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของโรคทางตาให้แก่สังคมไทยให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องต่อการป้องกันและการดูแลรักษาเพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยป้องกันการสูญเสียการมองเห็น ในโอกาสครบรอบ 100 ปีจักษุแพทย์ไทย


แนะปรับพฤติกรรมเสี่ยงตาบอด thaihealth


นายแพทย์ธีรวีร์ หงษ์หยก ประธานคณะอนุกรรมการข่าวสารสัมพันธ์เพื่อประชาชน ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า โรคทางตาที่พบมากขึ้นในสังคมไทยช่วงหลายปีที่ผ่านมาคือการติดเชื้อที่กระจกตาจากคอนแทคเลนส์และโรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม(ComputerVision Syndrome) ซึ่งมีแนวโน้มจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สามารถแบ่งลักษณะอาการและการป้องกันได้ดังนี้


1.การติดเชื้อที่กระจกตา เกิดจากการใช้คอนแทคเลนส์ ผู้ป่วยมักจะมีอาการตาแดง ปวดตา ตามัว น้ำตาไหล มองสู้แสงไม่ได้ มีขี้ตา เปลือกตาบวม และอาจเห็นจุดสีขาวอยู่บนกระจกตาได้ ซึ่งหากไม่ได้ทำการรักษาตั้งแต่เริ่มต้นจุดขาวที่เกิดขึ้นจะลุกลามเกิดเป็นหนองสีขาวในช่องหน้าลูกตา ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่ดวงตา เช่น กระจกตาทะลุ ต้อหิน ต้อกระจก ไปจนถึงตาบอด


สำหรับการลดความเสี่ยงการติดเชื้อที่ดวงตาสามารถทำได้โดยผู้ใช้เองต้องดูแลรักษาเลนส์อย่างเคร่งครัดตามคำแนะนำของแพทย์ห้ามไม่ให้เลนส์สัมผัสกับน้ำไม่ใส่เลนส์เกินอายุเลนส์ที่แนะนำ ไม่ใช้คอนแทคเลนส์มือสองและควรเปลี่ยนเลนส์บ่อย ๆ ที่สำคัญคือการตรวจสุขภาพตาโดยจักษุแพทย์ เพื่อตรวจสุขภาพตาและตรวจวัดค่าสายตาหรือเลนส์ที่เหมาะสมอย่างน้อยทุก  6-12 เดือน


2.โรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม (Computer Vision Syndrome) การใช้คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ตติดต่อกันเป็นระยะเวลานานเกินความจำเป็น จะทำให้เกิดอาการทางตาต่าง ๆ ตามมาได้ สามารถพบผู้ป่วยได้มากถึง 70% ของผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์ทำงานเป็นประจำและมักพบได้บ่อยขึ้นในคนที่อายุมากกว่า 40 ปี สาเหตุหลักเกิดจากแสงสะท้อนจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ต รวมถึงผิวหน้าจอที่สามารถสะท้อนแสงจากสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ มาสู่ตา จึงทำให้ปวดตา ล้าตาได้ง่าย อีกทั้งการกระพริบตาน้อยลงขณะที่อยู่หน้าจอจะทำให้น้ำตาระเหย ตาแห้ง แสบตา แพ้แสง หรือตามัว เมื่ออาการสะสมเรื่อย ๆ อาการจะหนักขึ้น และปวดบริเวณศีรษะ คอ บ่า ไหล่


การป้องกันสามารถทำได้โดยการกระพริบตาบ่อยขึ้นเวลาอยู่หน้าจอและการพักสายตาเป็นระยะตามกฎ20-20-20 คือ ทุก 20 นาที ให้พักสายตาอย่างน้อง 20 วินาที โดยการมองไกล ๆ 20 เมตร หรือหลับตาพักก็ได้ รวมทั้งการปรับท่าทางการทำงาน ตำแหน่งของหน้าจอ ใช้แว่นสายตาที่เหมาะสม จะช่วยลดอาการต่าง ๆ ได้มากขึ้น


ทั้งนี้ ผลสำรวจล่าสุดเกี่ยวกับสาเหตุของการตาบอดและสายตาเลือนลางในประเทศไทยพบว่า 4 อันดับแรก คือ 1.โรคต้อกระจก (69.7%) 2.โรคทางจอประสาทตา (13.2%) 3.โรคต้อหิน (4%) และ 4.ความผิดปกติทางสายตา (4%)


ดังนั้นราชวิทยาลัยฯจึงมุ่งให้ความสำคัญในการลดจำนวนผู้ป่วยโรคต้อกระจก เฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้ป่วยสูงอายุในพื้นที่ห่างไกล โดยร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ริเริ่มโครงการ "รวมใจ…ไร้ตาบอดจากต้อกระจก 2560"


ซึ่งโครงการดังกล่าวเสนอให้โรงพยาบาลทุกแห่งทั่วประเทศ เพื่อปรับกระบวนการทำงานมุ่งเน้นการคัดกรองค้นหาผู้ที่มีตาบอดจากต้อกระจกในชุมชน จัดให้เข้าสู่ระบบการขึ้นทะเบียนและรอผ่าตัดโดยเร็ว (Fast Track)


 


 


ที่มา : เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ


ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต


 

Shares:
QR Code :
QR Code

ใส่ความเห็น

ระบุข้อความ