แนะปชช. กินอาหารเจควรให้ได้ครบทั้ง5หมู่
ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
แฟ้มภาพ
ชาวไทยและชาวไทยเชื้อสายจีนส่วนใหญ่มักบริโภคอาหารเจที่มีรสหวาน มัน เค็ม และมีแป้งเป็นส่วนประกอบ โดยมีวิธีการปรุงคือทอด ผัด ที่ใช้น้ำมันเป็นจำนวนมาก ขณะที่ร้านจำหน่ายอาหารเจก็มักจะปรุงอาหารทิ้งไว้นานและปรุงครั้งละมาก ๆ
นายแพทย์สุทธิพงศ์ ศิริมัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าสมุทรสงคราม กล่าวว่า เทศกาลกินเจวันที่ 8-18 ตุลาคม 2561 ชาวไทยและชาวไทยเชื้อสายจีนส่วนใหญ่มักบริโภคอาหารเจที่มีรสหวาน มัน เค็ม และมีแป้งเป็นส่วนประกอบ โดยมีวิธีการปรุงคือทอด ผัด ที่ใช้น้ำมันเป็นจำนวนมาก ขณะที่ร้านจำหน่ายอาหารเจก็มักจะปรุงอาหารทิ้งไว้นานและปรุงครั้งละมาก ๆ ดังนั้นการเลือกซื้ออาหารเจจึงควรคำนึงถึงความสะอาด ปรุงใหม่และต้องใส่ในภาชนะที่สะอาดมีฝาปิด ขณะที่ผัก ผลไม้ หากซื้อมาปรุงกินเองที่บ้านต้องล้างด้วยน้ำไหลประมาณ 2 นาที หรือแช่ด้วยน้ำเกลือ 2 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 4 ลิตร โดยแช่ทิ้งไว้ 15-30 นาที ล้างด้วยน้ำเปล่าอีก 2 ครั้ง สำหรับผักกาด กะหล่ำปลี ควรคลี่ใบและล้างให้สะอาด ปรุงให้สุกด้วยความร้อน โดยอาหารเจทุกเมนูต้องลดหวาน มัน เค็ม คำนึงถึงการเติมสารปรุงแต่งอาหารเพราะความเค็มจะมีโซเดียมสูงที่ส่งผลต่อการเกิดภาวะความดันโลหิตสูงและทำให้ไตทำงานหนัก ส่วนความหวานจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานได้
สำหรับข้อดีของการรับประทานอาหารเจนั้นนายแพทย์สุทธิพงศ์ บอกว่าการงดเว้นเนื้อสัตว์เป็นเวลา 10 วัน จะทำให้กระเพาะได้พักการย่อยเนื้อสัตว์ อีกทั้งยังได้รับวิตามินรวมทั้งโปรตีนจากถั่วชนิดต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง อีกทั้งยังมีผลดีด้านจิตใจด้วย อย่างไรก็ตามขอเน้นย้ำเรื่องการรับประทานอาหารเจว่าควรรับประทานให้ครบทั้ง 5 หมู่และรับประทานอาหารเจให้หลากหลายชนิดไม่ควรรับประทานอาหารเจชนิดเดียวกันเป็นเวลานาน ๆ เพราะอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคขาดสารอาหารได้.