แค่ปลูกผัก…ได้มากกว่าอาหารปลอดภัย
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
แฟ้มภาพ
4-5 ปีที่ผ่านมารัฐบาลวางสถานะประเทศไทยเป็นครัวของโลก มาถึงพ.ศ.นี้อาจจะต้องหยุดเรื่องนี้ไปชั่วคราว วิกฤติภัยแล้งที่ผ่านพ้น พืชผักผลไม้ลดพื้นที่ปลูก อาหารทะเลถูกควบคุมให้ผลิตตามคำสั่งของไอยูยู เจอ 2 วิกฤติเข้าไปราคาพืชผัก อาหารทะเลถีบตัวสูงขึ้นผลักให้คนไทยต้องกินอาหารแปรรูป และพืชผักผลไม้ที่ปนเปื้อนสารเคมี เพราะราคาถูก
น.ส.ดวงพร เฮงบุณยพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน (สสส.) กล่าวในเวทีขับเคลื่อนขบวนการร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ ครั้งที่ 2 ตอนระบบอาหารชุมชน มั่นคง ปลอดภัย ที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ว่า ขณะนี้ในชุมชนเกิดภาวะวิกฤติ 2 เรื่อง ได้แก่ 1.ประชาชนไม่บริหารจัดการอาหารในชุมชน ทำให้มี ค่าใช้จ่ายค่าอาหารโดยไม่จำเป็น เช่น ซื้อผักกับรถเร่ แทนที่จะ ปลูกผักกินเอง 2.ชุมชนไม่มีการ เชื่อมโยงระบบอาหาร บางบ้านมีผลผลิตจำนวนมากต้องทิ้ง ต้องไปซื้อจาก นอกชุมชนแทนที่จะซื้อจากชุมชนเองทำให้ได้สิ่งที่ทำลายสุขภาพเช่นเครื่องปรุงรสทั้งหลาย ปกติในชนบทใช้แค่น้ำปลาปรุงรส เมื่อไม่มีกลไกการกระจายอาหารที่ดี ทำให้ในชุมชนมีค่าใช้จ่ายอาหารเท่ากับการศึกษาของบุตร และค่ายานพาหนะ
น.ส.ดวงพร กล่าวต่อว่า เรื่องอาหารกับเกษตรเป็นสิ่งคู่กัน จากการเก็บข้อมูล คนไทยยังทำเกษตรเป็นอาชีพหลัก 44.5% และทำเกษตรเป็นอาชีพเสริม 50% ดังนั้นเกษตรกรรมเป็นต้นทางของอาหาร และอาหารเป็นเรื่องสร้างเสริมสุขภาพและสร้างรายได้ลด รายจ่ายให้ชุมชนได้
สำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน (สสส.) มองว่า การผลักดันให้เกิดต้นทางของอาหารที่มาจากเกษตรกรรม ต้องเริ่มต้นจากผู้นำในชุมชนปลุกกระแสให้คนในชุมชนลุกขึ้นมาผลิตอาหารบริโภคเอง ซึ่งผลลัพธ์ที่จะได้ทั้งการป้องกันโรคและชาวบ้านมีอาหารราคาถูก
"สสส.จะเข้าไปทำความเข้าใจกับชุมชนว่าเรื่องอาหารไม่ใช่เป็นเรื่องของสาธารณสุขเพียงอย่างเดียว ชุมชนต้องมองหาโอกาสเพื่อสร้างอาหารบริโภคภายในชุมชนและทำให้เกิดเศรษฐกิจในชุมชนมีรายได้ ผักที่ปลูกเองในหมู่บ้านขายออกนอกหมู่บ้านได้ ขณะเดียวกันจะเข้าไปฝึกทักษะการทำข้อมูล ซึ่งผู้นำท้องถิ่นมีบทบาทตรงนี้ เช่น การเก็บข้อมูลตัวเลขของเงินในการซื้อข้าว ซื้อผัก ในหมู่บ้านเมื่อนำมารวมทั้งปี ชุมชนต้องเสียค่าใช้จ่ายนับล้านบาทซึ่งภายในปีหน้าสสส.จะสนับสนุนให้เกิดชุมชนเครือข่ายอาหาร 200-300 ตำบล ซึ่งขณะนี้มีงานวิจัยเรื่องอาหารในศูนย์เด็กเล็กที่สอนให้ เด็กรู้จักผักพื้นบ้านต่าง ๆ" ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน กล่าว
ที่ผ่านมาสสส.สนับสนุนให้มีตัวอย่าง ของชุมชน ผลิตอาหารได้ภายใต้กลไกของผู้นำ ท้องถิ่น
ด้านนายแดนชัย บุลมาก นายกองค์การบริหารส่วนตำบลโป่งงาม อ.แม่สาย จ.เชียงราย กล่าวว่า อบต.โป่งงามได้ริเริ่มโครงการบ้านนี้ มีรักปลูกผักกินเองเมื่อปี 2555 เข้าไปถามความต้องการในพื้นที่ที่ต้องการเมล็ดพันธุ์ผัก แล้วใช้งบประมาณของอบต.จัดซื้อเมล็ด พันธุ์แจกจ่าย ในช่วงเริ่มต้นมีชาวบ้านเข้า ร่วมโครงการ 10 หลังคาเรือน จากจำนวนประชากรที่อยู่อาศัย 2,200 ครัวเรือน และ ในปีเดียวกันสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ พระราชทานต้นกล้าไม้ผลและทรงแนะนำ ให้ชาวบ้านปลูกผักนอกบ้าน จนกลายเป็นโครงการซอยนี้มีรักปลูกผักแบ่งปัน ทำให้ ชาวบ้านเข้ามาร่วมปลูกผักกินเองเพิ่มเป็น 1,250 ครัวเรือน และช่วยกันปลูกผักใน พื้นที่สาธารณะที่แบ่งปันกันกินในชุมชนพร้อมกันนี้ทรงสนับสนุนให้มีแหล่งโปรตีนในชุมชน อบต.แจกพันธุ์ปลาดุก ส่งเสริมการเลี้ยงกุ้ง เลี้ยงปลาในกระชัง เริ่มจัดตลาดนัดสีเขียวในชุมชน
นอกจากนี้ยังจัดทำข้อมูล ในชุมชน เช่น การสำรวจซื้อดอกกะหล่ำที่ต้องซื้อในราคาหัวละ 30-35 บาท เมื่อคำนวณออกมาชาวบ้านปลูกเองไม่ซื้อลดค่าใช้จ่ายให้ชุมชนได้ปีละ 9 ล้านบาท และปัจจุบันชาว ต.โป่งงาม มีรายได้ ปีละ 25 ล้านบาท โดยการปลูกผักส่งขายให้ศูนย์พัฒนาพันธุ์พืชจักรพันธ์เพ็ญศิริ จากการเริ่มต้นแจกเมล็ดพันธุ์ผักของอบต
"กระแสเรื่องอาหารปลอดภัยเป็นปัญหาของโลกไม่ใช่ชุมชนอีกต่อไป และอาชีพเกษตรกรเป็นอาชีพที่แสดงถึงความมั่นคงทางอาหารของคนไทย เกษตรกรรม คือตัวชี้วัดความอยู่รอด หากพื้นที่เกษตร ลดลงจะนำไปสู่ปัญหาในอนาคต" นายสมพร ใช้บางยาง ประธานเครือข่ายร่วมสร้างชุมชน ท้องถิ่นน่าอยู่และผู้ทรงคุณวุฒิ สสส. ทิ้ง ท้ายอนาคตของวิถีเกษตรกรรมที่เกี่ยวโยงกับสุขภาพคนไทย