แก้ปัญหา “เด็กติดจอ” สร้างสุขในครอบครัว
ที่มา : เว็บไซต์โครงการดิจิตอลของเด็กดี
ภาพประกอบจากเฟสบุ๊ค โครงการดิจิตอลของเด็กดี
จากปัญหาเด็กติดจอวันนี้สังคมไทยได้พัฒนาปัญหาไปตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่เข้าถึงทุกๆ คน และทุกๆ วัยเพียงเพราะช่วยสร้างความสะดวกสบายในทุกๆ เรื่องให้กับชีวิตไม่ว่าจะเป็นการอัพเดทข่าวสารการค้นหาข้อมูลและความรู้ต่างๆ ที่มีอยู่มากมายมหาศาล รวมไปถึงความบันเทิงหลากหลายทั้งเพลง หนัง ละครและเกมต่างๆ ที่สามารถเข้าถึงชีวิตของคนได้ตลอดเวลาจาก สมาร์ทโฟน แท็ปเล็ต โดยเฉพาะ “เด็ก” วันนี้ปฎิเสธไม่ได้ว่าหลายครอบครัวเลี้ยงลูกด้วยสิ่งเหล่านี้ และอีก 2 จอที่บ้านคือ คอมพิวเตอร์ และทีวี ที่ดึงเวลาของเด็กๆ เกือบทั้งวันแล้ว
เด็กติดจอ กำลังเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทยและส่งผลกระทบต่อเด็กแล้ว ทั้งพัฒนาการด้านร่างกาย สมอง สติปัญญา สมาธิ และพฤติกรรมความรุนแรง เรียกว่า… ไม่แพ้ปัญหาเด็กติดจอที่ผ่านมาเลย เพื่อลดภาวการณ์ติดจอ ติดเกมของเด็กและวัยรุ่น และสร้างสมดุลการใช้ชีวิตในครอบครัว
บริษัท ปันฝัน ปันยิ้ม จำกัด ร่วมกับภาคีเครือข่าย ได้แก่ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สายการบินนกแอร์ แพลน บี มีเดีย โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จัดทำโครงการ “ดิจิตอลของเด็กดี” ขึ้นโดยตั้งเป้าดึงครอบครัวทั่วประเทศที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเข้าร่วมโครงการในรูปแบบค่ายสร้างสรรค์ ในกรุงเทพมหานครและ 4 ภูมิภาค เพื่อให้สังคม และครอบครัวเห็นถึงความสำคัญของการสร้างสมดุลในการใช้ชีวิตในครอบครัว เพราะความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวคือการสร้างความรักและความอบอุ่นให้เกิดขึ้น ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุดให้กับเด็ก ในสังคมวันนี้และอนาคต
ดร.ณัฐพงศ์ โมกขพันธ์ ผู้อำนวยการ บริษัท ปันฝัน ปันยิ้ม จำกัด ผู้รับผิดชอบโครงการ “ดิจิตอลของเด็กดี” กล่าวว่า ปัจจุบันปัญหาเด็กติดจอมีจำนวนมากขึ้นและอายุลดน้อยลงเรื่อยๆ จากผลการวิจัยต่างๆ พบว่าการติดจอของเด็กส่งผลให้สมรรถนะของเด็กไทยวันนี้ต่ำกว่ามาตรฐานทั้ง 7 ด้านได้แก่ ทักษะการเคลื่อนไหว ทักษะด้านสังคม ทักษะด้านอารมณ์ ทักษะด้านการคิด และสติปัญญา ทักษะด้านภาษาและการสื่อสาร ทักษะด้านจริยธรรม และทักษะด้านการสร้างสรรค์นอกจากนี้ยังพบว่า การติดจอเป็นภัยเงียบที่คุกคามเด็กๆ โดยไม่รู้ตัว เช่น สมาธิสั้น ปัญหาด้านสายตา โรคอ้วน และกระดูกพรุน เป็นต้น ซึ่งผลวิจัยนี้ตอกย้ำชัดเจนว่า ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา รูปแบบการเลี้ยงดูลูกของพ่อแม่ยุคใหม่ได้ใช้อุปกรณ์สื่อสารหลากหลายชนิดเข้ามามีส่วนให้เด็กได้แตะต้องสัมผัส ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมทางสังคมที่พ่อแม่แม้จะมีความตระหนักแต่อาจไม่ระมัดระวัง
รศ.นพ.ชาญวิทย์ พรนภดล สาขาวิชาจิตเวชเด็กและวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อไม่สามารถแยกเด็กออกจากการเล่มเกม หรือจอได้ ก็ต้องให้เด็กเล่นอย่างมีกฎกติกาอย่างเคร่งครัด เพื่อการเล่นเกม หรือดูจอต่างๆ นั้นไม่ทำร้ายสุขภาพและเป็นการเล่นเพื่อการผ่อนคลาย หรือเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น” สำหรับโครงการ “ดิจิตอลของเด็กดี” ขึ้นมีเป้าหมายสำคัญคือ เพื่อลดภาวการณ์ติดเกมและติดจอของเด็กและวัยรุ่น โดยการสร้างลักษณะนิสัยที่ดีของเด็กและวัยรุ่น ให้มีความรับผิดชอบ แบ่งหน้าที่ในการทำงานและการแบ่งเวลาให้ถูกต้องรวมทั้งสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวเพื่อช่วยลดปัญหาความก้าวร้าวในสังคมไทยอันเนื่องมาจากได้อิทธิพลจากการเล่นเกมบางประเภท นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นป้องกันไม่ให้เด็กกลับไปมีพฤติกรรมเช่นเดิมอีก
โดยการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง “กลุ่มเป้าหมายหลักของโครงการฯ เราคือครอบครัวของเด็กและวัยรุ่น ในช่วงอายุระหว่าง 7-12 ปี ที่มีภาวะติดเกม หรือติดจอ ซึ่งเราจะคัดสรรครอบครัวที่มีเด็กติดเกม หรือติดจอ เพื่อมาเข้าร่วมโครงการ โดยการเข้าค่ายจำนวน 2 วัน"
พบกับผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเด็ก อาทิ เอษรา วสุพันธ์รจิต นักจิตวิทยาคลินิก ประจำสาขาวิชาจิตวิทยาเด็กและวัยรุ่น ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้รับผิดชอบในโครงการ HealthyGamer.net พญ.พรพิมล – นพ.อัศวิน นาคพงศ์พันธุ์ ผู้ก่อตั้งเพจ “เลี้ยงลูกให้เป็นคนปกติ” นพ.พีรพล ภัทรนุธาพร จิตแพทย์ บล็อกเกอร์ และนักเขียนเจ้าของนามปากกา “ผมอยู่ข้างหลังคุณ” พร้อมด้วยนักพูดชื่อดัง อ.เชน-จตุพล ชมภูนิช และ พ.อ.นพ.พงศ์ศักดิ์ ตั้งคณา มาให้ข้อคิดในการใช้ชีวิตครอบครัวในยุคดิจิตอล
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสร้างสรรค์ผลงานโดยกำหนดให้ผู้ปกครองเป็นที่ปรึกษา และกลุ่มเด็กสามารถขอคำแนะนำจากผู้ปกครองได้ มุ่งเน้นการจัดกิจกรรมที่มีการวางแผนงานร่วมกัน คิด วิเคราะห์ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ร่วมกัน โดยรูปแบบกิจกรรมจะมีความสร้างสรรค์ สามารถต่อ ยอดเป็นงานอดิเรก มีประโยชน์ต่อสังคม และสามารถทำร่วมกันในครอบครัวได้ เช่น กิจกรรมการท่องเที่ยว กิจกรรมทำสิ่งประดิษฐ์ DIY หรือ กิจกรรมกีฬา เป็นต้น