แก่แล้วไง.. ใครๆ ก็เรียนได้

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ


แก่แล้วไง.. ใครๆ ก็เรียนได้ thaihealth


แฟ้มภาพ


                           เรื่องที่ว่า เรากำลังเข้าสู่   "สังคมสูงวัย"   หรือ   Aged society    ถือเป็นประเด็นสำคัญที่ถูกพูดถึงมาพักใหญ่แล้ว     โดยปัจจุบัน   16   เปอร์เซ็นต์   ของคนไทย   ทั้งประเทศ   หรือ    10.3   ล้านคน   เป็น     "ผู้สูงอายุ" และต่อจากนี้ไปอีก   4   ปีสัดส่วนจะพุ่งทะลุเพดาน   20   เปอร์เซ็นต์    โดยประชากรไม่น้อยกว่า   1   ใน   5   ของประเทศไทย    จะกลายเป็นคนอายุ   60   ปีขึ้นไป


                          นั่นหมายความว่า   เรากำลังก้าวสู่การเป็น    "สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์"   (Complete aged society)    ในปีพ.ศ.2564


                         ภายใต้ความเป็นไปเหล่านี้    การเตรียม    รับมือจึงสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง    แต่สำหรับชุมชนเข้มแข็งอย่าง "หนองลาน"   อ.ท่ามะกา    จ.กาญจนบุรี    พวกเขาได้เตรียมรับมือไว้แล้ว    ผ่านโครงการ     โรงเรียนผู้สูงอายุบ้านหนองลาน     ซึ่งถือเป็นโรงเรียนต้นแบบด้านการส่งเสริมนวัตกรรมสุขภาพของผู้สูงวัยที่ครบทั้ง   5   มิติ    ได้แก่    กินอิ่ม    นอนอุ่น    สุขใจ    มีรายได้     ปลอดภัยจากโรค    และอุบัติภัยในครัวเรือน    ภายใต้การสนับสนุน    ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)     และภาคีเครือข่าย    ในการสร้าง    ต้นแบบของแหล่งบ่มเพาะผู้สูงวัย    ที่มีคุณภาพ   หรือ    "Active Aging"


                         ด้วยกระบวนการขับเคลื่อนบนแนวคิด     "บวร"    ซึ่งประกอบด้วย    "บ้าน ชุมชน วัด และ โรงเรียน"    นำมาสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิต      ผู้สูงอายุในโรงเรียนผู้สูงอายุบ้านหนองลานจนส่งผลให้โรงเรียนดังกล่าวก้าวสู่การเป็น     "โรงเรียนผู้สูงอายุต้นแบบ"      ที่ดำเนินการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรโรงเรียน    ผู้สูงอายุ   ซึ่งมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนา    ผู้สูงอายุไทย (มส.ผส)     และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)          ได้ทำวิจัยถอดบทเรียนเพื่อพัฒนาหลักสูตรเป็นชุดวิชาการพัฒนาความสามารถผู้สูงอายุ    โดย          มีการปรับให้สอดคล้องกับหลักสูตรที่มีอยู่เดิม เพื่อต่อยอดองค์ความรู้สู่โรงเรียนผู้สูงอายุเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่กว่า 150 แห่ง


                          สูงวัยอย่างมี "ค่า"


                         จุดเริ่มต้นของโรงเรียนดังกล่าวเกิดขึ้นจากสถานการณ์สังคมสูงวัยในประเทศไทยที่มีแนวโน้มจำนวนประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง    ไม่ต้องไปดูไหนไกล   เพราะที่หนองลานเองมีสัดส่วนของผู้สูงอายุเกินเกณฑ์ ที่สหประชาชาติ (UN)    กำหนด   โดยจากการสำรวจสถิติผู้สูงอายุ   60   ปีขึ้นไป   ตั้งแต่ปี    2558-2560    พบว่ามีอัตราเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง


                         ล่าสุดปี   2560   ประชากรบ้านหนองลาน   4,418 คน   มีอัตราประชากรผู้สูงอายุ   60   ปีขึ้นไป   ถึง 637   คน


                         การพัฒนาระบบเพื่อรองรับสังคมสูงวัย    และการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ    ครอบคลุมทั้งมิติด้านสุขภาพ      เศรษฐกิจ    และสังคม    จึงกลายเป็นภารกิจหนึ่งที่สำคัญยิ่งของชุมชน    ภายใต้การขับเคลื่อนในนามชมรมผู้สูงอายุเทศบาลตำบลหนองลาน     และมีวัดหนองไม้แก่นเป็นศูนย์กลางของชุมชน    ร่วมกับแกนนำชุมชน    และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่เป็นการผสานความ     ร่วมมือของผู้นำธรรมชาติกับผู้นำท้องถิ่นที่มีแนวความคิดไปในทางเดียวกัน     จึงทำให้โรงเรียนแห่งนี้ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว


                        "หนองลานมีผู้นำท้องถิ่นที่เข้มแข็ง   รวมถึงเรามี   อสม.และอาสาสมัครจิตอาสาที่พร้อมให้ความร่วมมือค่อนข้างเยอะ    และเรามั่นใจในข้อมูล    จึงผสานความร่วมมือทุกฝ่ายให้ช่วยกันขยายแนวคิด"   พระครูกาญจนธรรมชัย เจ้าอาวาสวัดหนองไม้แก่นบอกเล่าโรงเรียนแห่งนี้จะเปิดทำการทุกวันพุธที่    1 และ 3   ของเดือน    มีทั้งกิจกรรมในและนอกห้องเรียน    ตั้งแต่การอบรมให้ความรู้    การส่งเสริมอาชีพ    กิจกรรมถ่ายทอดภูมิปัญญา   นันทนาการและกิจกรรมนอกสถานที่    ขณะที่อีกหนึ่งกิจกรรมส่งเสริมบทบาทจิตอาสาของผู้สูงอายุ    คือการเน้นให้ผู้สูงอายุด้วยกัน ลงพื้นที่เยี่ยมผู้ป่วยติดเตียงในชุมชน    เพราะเชื่อว่าการสื่อสารระหว่างคนวัยเดียวกัน    ทำให้เข้าถึงการรักษา        และการดูแลง่ายขึ้น


                          สำหรับรายวิชาในหลักสูตรโรงเรียน    ผู้สูงอายุที่เปิดสอนนี้   ทาง   มส.ผส.   ได้จัดแบ่งหมวดหมู่เป็น   3   ภาควิชา   ได้แก่     1.ภาควิชาการศึกษา ศีลธรรม หน้าที่พลเมือง    2.ภาควิชาตามอัธยาศัย   เน้นโภชนาการและภูมิปัญญา     3.ภาคกิจกรรมสังคม เน้นกิจกรรมนันทนาการ    โดยยึดแนวคิดเรียนรู้ตลอดชีวิต    ส่วนการเรียนรู้ประกอบด้วย     3 ชุดความรู้หลัก   ได้แก่   ความรู้ที่ผู้สูงอายุต้องรู้ คือ   ความรู้ที่สำคัญต่อการดำเนินชีวิต    สิ่งที่ผู้สูงอายุควรรู้เช่น    การดูแลสุขภาพ   และ   สิ่งที่ผู้สูงอายุอยากรู้


                          ศ.ศศิพัฒน์ ยอดเพชร นักวิจัย คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์    หนึ่งในทีมวิจัยของ   มส.ผส.    กล่าวว่า     มีโรงเรียนผู้สูงอายุเกิดขึ้นมากมายในประเทศไทย    แต่ปัจจุบันการโรงเรียน    ผู้สูงอายุถูกก่อตั้งและดำเนินการจากหลายภาคส่วน    ทั้งท้องถิ่น   หน่วยงานราชการ     โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ชมรมผู้สูงอายุ    อีกทั้งไม่มีการสรุปว่าหลักสูตรใดมีความเหมาะสมที่สุด    และขาดการจัดการที่เป็นรูปธรรมชัดเจน มส.ผส.จึงพัฒนาหลักสูตรดังกล่าว     โดยมุ่งเน้นการถ่ายทอดความรู้ตามแนวคิดการศึกษาเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต     มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาผู้สูงอายุให้เป็นบุคลากรของประเทศที่มีศักยภาพหรือมีภาวะพฤติพลัง (Active Aging)       ของสังคม     โดยนำร่องทดลองหลักสูตรสู่โรงเรียนผู้สูงอายุที่  มส.ผส.  ได้วิจัยและพัฒนาจากการศึกษา    ในโรงเรียนผู้สูงอายุหลายแห่งทั่วประเทศนี้     เป็นครั้งแรกที่บ้านหนองลาน


                           "ผลจากการทดลองหลักสูตรในพื้นที่บ้านหนองลาน พบว่าผู้สูงอายุได้รับความรู้ เรื่องการดูแลตัวเอง มีการเปลี่ยนแปลงด้านการดูแลสุขภาพที่ดี การพัฒนาจิต การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางสังคมเพื่อไม่ให้ถูกมองว่า เป็นมนุษย์ป้า มนุษย์ลุง รวมถึงเทคโนโลยีในโลกยุคใหม่ เราเชื่อว่า หากโรงเรียนผู้สูงอายุมีการกำหนดทิศทางชัดเจน ว่าจะสอนหรือถ่ายทอดความรู้ได้ เรามั่นใจว่าจะสามารถพัฒนาผู้สูงอายุให้มีคุณภาพ หลากหลายหรือมีศักยภาพ"


                            ด้าน พญ.ลัดดา ดำริการเลิศ เลขาธิการมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนา ผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.)    เสริมว่า    การส่งเสริม     ให้ผู้สูงอายุสามารถช่วยเหลือดูแลตัวเอง    ทำงานเลี้ยงตัวเองได้     รวมถึงสามารถดูแลผู้อื่นในสังคม     ถ่ายทอดภูมิปัญญาและช่วยรักษาวัฒนธรรม     ล้วนเป็นการสร้างประโยชน์กับตัวเอง    ที่จะก่อให้เกิดความมีคุณค่าในตัวผู้สูงวัย    รวมถึงคนอื่นและชุมชน     ซึ่งนี่คือ "เป้าหมายสูงสุดของโรงเรียนผู้สูงอายุ"


                            อีกปัญหาคือปัจจุบันสังคมมักมีทัศนคติมองผู้สูงอายุเปลี่ยนไปจากอดีต    ไม่เคารพ   และไม่เห็นคุณค่า     ซึ่งการจะปรับเปลี่ยนทัศนคติคนในสังคมที่มีต่อผู้สูงอายุ    อาจจำเป็นต้องสร้างการมี     "ทัศนคติ" ที่ดีต่อ ตัวเองในผู้สูงวัยว่าตนเองคือ    "พลังของสังคม"    ให้เกิดขึ้นก่อนเป็นอันดับแรก


                            "จากความรู้สึกที่ตัวเองเป็นผู้สูงอายุไม่มีประโยชน์      เป็นภาระให้ผู้อื่นต้องถูกปรับเปลี่ยนทัศนคติใหม่    เราต้องรู้สึกว่า     เรายังมีค่า     ทำประโยชน์ให้คนอื่นได้ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำคือ     ต้องมีแพลทฟอร์มหรือเวทีที่เป็นโอกาสให้เขาปรับเปลี่ยนพัฒนาซึ่งก็คือโรงเรียน    ผู้สูงอายุหรือชมรมผู้สูงอายุ"


                               ไม่มีใครแก่เกินเรียน


                              ครูตุ้ม-เบญจา สุภาราญ อดีต นักพัฒนาชุมชนที่เออรี่รีไทร์วัย 62 ปี    คืออีกหนึ่งตัวอย่างผู้สูงวัยที่มีคุณค่าต่อตัวเองและสังคม    ปัจจุบันเป็นหนึ่งในวิทยากรของโรงเรียนแห่งนี้    ที่เรียกเสียงหัวเราะและ    รอยยิ้มในกลุ่มนักเรียนเป็นประจำ


                              เพราะวัยที่ใกล้เคียงกับนักเรียน   ครูตุ้มเล่าว่าเธอได้เปรียบ    เธอเข้าอกเข้าใจในความต้องการของนักเรียน สว.เป็นอย่างดี


                              ที่สำคัญเทคนิคการสอนที่สนุกสนานไม่น่าเบื่อซึ่งครูตุ้มนำประสบการณ์ที่เคยทำงานเป็น    นักพัฒนาชุมชนเป็นวิทยากรมานับไม่ถ้วน     ทำให้รู้ว่าจะสอดแทรกเรื่องสาระ   ก็ต้องมี   ร้องรำทำเพลงและมุกแพรวพราวควบคู่     เป็นที่มาว่า    ทำไมเธอติดโผเป็นขวัญใจของเหล่านักเรียนแบบไม่มีใครมาทาบรัศมีได้


                              "ใครอยากรู้เรื่องเวียนหัว    น้ำในหู    ไม่เท่ากัน    ความดัน    เราสอนได้หมด    เพราะเราเองก็เป็นอยู่แล้ว รับรองเข้าใจ    และอธิบายได้ชัดแจ๋ว     แต่ละเรื่องที่สอนเน้นเขาให้บริหารสมองบ่อยๆ   บางทีวิทยากรมาสอนวิชาการ นักเรียนเขาก็เบื่อนะ    หน้าที่เราก็จะเข้าไปแทรกละ    เปลี่ยนบรรยากาศให้สนุกขึ้น    แนวการสอนของเราคือสอนในทุกเรื่อง    ที่ควรรู้    และจำเป็นต้องรู้     ส่วนเรื่องที่เขาอยากรู้อะไร    เราก็จะป้อนให้   เสริมให้เขา"


                               เธอเล่าว่า   ผู้สูงอายุที่อยู่ตรงนี้     ทั้งฝ่ายครูและนักเรียนต่างมาด้วยใจ    เริ่มจากหลักสิบในครั้งแรก    จนเพิ่มเป็นหลักร้อย      แม้ช่วงแรกที่เปิดโรงเรียนไม่มีผู้สูงอายุ     กล้ามาเรียนมากนัก    เพราะนึกว่าการ    เข้าโรงเรียนต้องเคร่งเครียดเป็นแน่    ดังนั้น    ทีมงานจึงเน้นลงพื้นที่เพื่อทำความเข้าใจ     ต่อเนื่อง    กว่าจะได้รับการตอบรับดีเช่นวันนี้


                               "นักเรียนที่นี่มีร้อยกว่าคน    ใครว่างก็มา    ไม่ได้บังคับ    ดังนั้น   เราต้องหาสิ่งที่ดึงดูดเขา    ต้องเต็มที่กับเขา ไม่งั้นจะค่อยๆ    หายไป ทีละคน     ส่วนข้อมูลเราศึกษาจากหนังสือบ้าง    อินเทอร์เน็ตบ้าง    เช่นเรื่องการดูแลสุขภาพ    อาหารการกิน    ไปจนถึงภาษาอังกฤษ"


                                นอกจากครูตุ้มแล้ว    โรงเรียนยังเชิญ    ผู้มีความรู้ด้านต่างๆ   ที่สลับสับเปลี่ยน    มาทำหน้าที่ถ่ายทอดสาระที่น่าสนใจให้กับนักเรียน    สว.กลุ่มนี้ ทั้งจากราชภัฏฯ     เจ้าหน้าที่สาธารณสุข   ไปจนถึงนักกฎหมาย   ที่เข้ามาสอน


                                ครูตุ้มเล่าต่อว่า     หลังเปิดการสอนกว่าขวบปีโรงเรียนแห่งนี้    เห็นความเปลี่ยนแปลงใน   กลุ่มนักเรียน    สว. หลายคนมีสุขภาพจิตใจดีขึ้น    ไม่เหงาเศร้าซึมเหมือนเมื่อก่อน    เพราะการมาที่โรงเรียนทำให้ได้เจอกับ    เพื่อนวัยเดียวกันที่สามารถปรับทุกข์     เล่าเรื่องอัดอั้นภายในใจถ่ายทอดให้กันฟัง    แม้บางเรื่องบอกใครไม่ได้    ที่นี่จึงเป็นช่องทางระบายออกที่ดี


                                "ลูกหลานผู้สูงอายุก็สนับสนุนให้มานะ เพราะพอเขากลับไปบ้านแล้วไม่เครียดไง เขาเลยชอบ"    เธอเล่าพร้อมเสียงหัวเราะ เบิกบาน


                                 ดร.ปกาศิต กายะสิทธิ์ ผู้ช่วยผู้จัดการ กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)     ได้ร่วมอธิบายต่อถึงงานพัฒนาโรงเรียน    ผู้สูงอายุว่า   จะเน้นการขับเคลื่อนจำเป็นต้องมีสองส่วนที่ทำควบคู่กันไป    คือการผลักดันในภาคนโยบาย    และการสร้างกลไกให้เกิดขึ้นในพื้นที่    เพื่อสร้างความร่วมมือจากข้างล่าง   โดยมีกลไกส่งเสริมความสำเร็จคือความ     เข้มแข็งท้องถิ่นและเครือข่าย    และต้องสร้างสมดุลทั้งสามส่วน


                                   "บทเรียนจากการทำงานหลายแห่งทำให้ทราบว่า   ปัจจัยที่ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่เกิดจากผู้นำธรรมชาติกับ    ผู้นำท้องถิ่นมีแนวคิดไม่ค่อยตรงกันแต่    ที่บ้านหนองลาน    มีจุดเด่นคือผู้นำทั้งสองกลุ่ม   มีความคิดเหมือนกัน    จึงทำให้โครงการ    ถูกผลักดันได้ง่ายขึ้น    ซึ่งเราหวังว่า   ด้วย องค์ประกอบ และศักยภาพเหล่านี้       จะทำให้การพัฒนาโรงเรียนผู้สูงอายุที่นี่    เกิดความยั่งยืนอย่างแท้จริง"


 

Shares:
QR Code :
QR Code