เหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า หมดไฟ มาลองหาทางพาหัวใจกลับบ้านไปด้วยกัน
ชื่อเรื่อง : เหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า หมดไฟ มาลองหาทางพาหัวใจกลับบ้านไปด้วยกัน
เรื่องโดย : พงศ์ศุลี จีระวัฒนรักษ์ Team Content www.thaihealth.or.th
ข้อมูลจาก : งานนิทรรศการ Homecoming ที่อยากชวนทุกคนพาใจกลับบ้าน
ภาพโดย Team Content www.thaihealth.or.th และแฟ้มภาพ
ในแต่ละช่วงวันของชีวิตที่ผ่านมาและกำลังจะผ่านไป ทั้งเรื่องการงาน การเรียน ความคาดหวังจากสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเรา แรกนั้นภาวะทางอารมณ์ดูสดใสร่าเริงดุจไฟที่ลุกโชน แต่พอนานไปน่าจะมีใครหลายคนรู้สึกเหนื่อย นอยด์กับชีวิต กลายเป็นภาวะเหมือนกองไฟที่ค่อย ๆมอดดับลง และปล่อยให้ความมืดคืบคลานเข้ามายึดครอง กว่าจะรู้ตัวก็มองหาแสงสว่างเพื่อนำทางไม่ได้เสียแล้ว
ใครที่กำลังเจอกับสภาพดังกล่าว สิ่งที่ดีที่สุดที่เรามักจะทำได้ ก็คือ ตบบ่า บีบมือ ให้กำลังใจกัน และบอกว่า สู้ ๆ นะ แม้จะวนซ้ำ ๆ กันอยู่เช่นนั้น แต่ก็ยังดีกว่านั่งทอดอาลัยจมอยู่กับภาวะของการอ่อนล้าทางอารมณ์ หรือที่เรียกกันว่า ภาวะหมดไฟ หรือ Burnout ซึ่งมีผลจากความเครียดจากงานที่มากเกินอย่างต่อเนื่องยาวนาน จนกลายเป็นความเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว กระทั่งนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าในที่สุด
แต่มันจะดีกว่ามั้ย ก่อนพาหัวใจตัวเองกลับ “บ้าน” ซึ่งเป็นสถานที่เรียกได้ว่าเป็นที่พักผ่อนหรือ เซฟโซนของทุก ๆ คน หากได้มารับรู้ถึงต้นเหตุของปัญหาจริง ๆ ว่า การที่เราเกิดภาวะหมดไฟนั้น มาจากอะไรกันแน่ ทำไมรู้สึกแบบนี้ จะหาทางแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร
อย่างน้อยงานนิทรรศการ “HOMECOMING พาใจกลับบ้าน” ที่จัดขึ้นโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ Eyedropper Fill ที่ River City Bangkok ชั้น 2 เพื่อให้ผู้สนใจเข้าร่วมโดยมีค่าใช้จ่าย มาตั้งแต่ต้นเดือนไปถึง – 30 มิถุนายน 2566 เวลา 11.00-20.00 น. (รอบสุดท้าย 19.30 น.) เพื่อค้นหาสาเหตุและคำตอบ อะไรที่ทำให้เราตกในภาวะหมดไฟ หรือ Burnout จากกิจกรรมชวนสนุก ๆมากมาย
ในวันที่เราไปนิทรรศการ “HOMECOMING พาใจกลับบ้าน” ได้พบกับพี่อุ๋ม เบญจมาภรณ์ ลิมปิษเฐียร ผู้ช่วยผู้จัดการอาวุโส และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สสส. ได้เกริ่นและนำชมกิจกรรมของงานครั้งนี้ว่า
“HOMECOMING พาใจกลับบ้าน เป็นนวัตกรรมการเรียนรู้ในรูปแบบนิทรรศการ ที่สร้างประสบการณ์และทักษะชีวิตให้คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงาน ได้ตระหนักถึงทางเลือกในการดูแลสุขภาวะด้านจิตใจ ผ่านงานศิลปะที่ออกแบบให้เชื่อมโยงกับอารมณ์ของมนุษย์ (Humanbeing) 5 ห้อง ด้วยกัน
ซึ่งแต่ละห้อง สุดท้ายก็ให้เราเลือกติ๊กลงบนกระดาษที่มีคำตอบให้เลือกหลากหลาย เพื่อทีมงานจะเอาข้อมูลนั้นไปรวมกับคนอื่นอีกที หรือ หลังเสร็จกิจกรรมสามารถร่วมเขียนเพื่อสะท้อนความรู้สึกได้ที่กำแพงด้านข้างกิจกรรมเรียกได้ว่าทั้งความสนุกซึ่งมีการเฉลย ทำให้ได้รู้จักตัวเองและเข้าใจคนอื่นมากขึ้น
เริ่มต้นจากห้องสำรวจอารมณ์ ทันทีที่ก้าวเข้าห้องสำรวจอารมณ์ ความรู้สึกแรกของเรา เริ่มคิดว่า ทุกคนที่เข้ามาเป็นอย่างเดียวกันรึเปล่า เมื่อพบกับข้อความทักทายเป็นการต้อนรับ ว่า “รู้สึกอย่างไรอยู่ ให้เปิดเผยความรู้สึกนั้นออกมารับรู้ในสิ่งที่เราเป็น โดยระบุถึงอารมณ์ที่หลากหลาย เพื่อตระหนักว่ามันกำลังบอกอะไรกับเรา“ ตามด้วยภาพกราฟฟิค บนจอขนาดใหญ่ เหมือนทดสอบความรู้สึกของทุกคนว่า กำลังตกอยู่ในสภาวะอย่างไร ความรู้สึกนั้นเกิดมาจากอะไร
ถัดไป ชื่อว่า ปล่อย เราจะพบกับสีสันและลีลาของคนแปลกหน้าอีกจำนวนหนึ่ง ที่กำลังทำท่าทางหยอกล้อกับแสงสีที่วิ่งตามการเคลื่อนไหวของร่างกายด้วยท่วงท่าที่อิสระหน้าจอขนาดยักษ์เต็มผนัง ใครอยากจะปลดปล่อยยังไง ทำเลย ไม่ต้องกลั้นเอาไว้ ระบายมันออกมา ทุกคนดูสนุกสนานที่ได้เห็นการปลดปล่อยความรู้สึกของตัวเองบนหน้าจอ สิ่งที่ได้ คือ การสังเกตและตั้งคำถามตัวเองว่า เราคิดอะไร ทำไมถึงทำท่าทางแบบนั้น ในส่วนของห้องนี้
ห้องที่ 3 ชื่อว่า กอด แนวคิดก็คือ การให้เราได้กอดเสาที่ทำด้วยกำมะหยี่ที่มีรูปทรงขนาดพอดี กับการโอบกอดได้อย่างลงตัวกับความรู้สึกเมื่อได้สัมผัสกับต้นเสาที่มีแรงสั่นสะเทือน ชนิดที่ต้องประคองหัวใจตัวเองไว้จากนั้นรอคอยให้หยุดนิ่ง พอได้กอดแล้วอดย้อนคิดถึงตอนเด็ก ๆ เราได้กอดพ่อแม่อยู่แทบจะทุกวัน แต่พอเราโตขึ้นเราก็เริ่มห่างหายจากการโอบกอดไปเรื่อย ๆ จนในที่สุด เราก็ลืมไปเลยว่า กอดครั้งสุดท้ายของเรา คือเมื่อไหร่ “นานเท่าไหร่แล้วนะ ที่เราห่างหายจากการโอบกอด” ในที่สุดเราทุกคนก็ได้ร่วมเขียนถึงความรู้สึกได้ที่กำแพงด้านข้าง
ห้องที่ 4 : นอน ถัดมาจากห้องกอด เราจะเจอกับห้องนอน น่าจะเป็นไฮไลต์ของงานเลยก็ว่า คนเยอะที่สุดของงาน บ่อบอลที่มีคนลงไปนอนนิ่ง ๆ ก็มี เอาลูกบอลมาโยนเล่นกับเพื่อนที่มาด้วยกันก็มี หลายอารมณ์ความรู้สึก คือ ผ่อนคลาย เหมือนได้ลงไปนอนแช่น้ำมากเลย เราลองลงไปนอนในบ่อบอลแล้วหลับตาลงปล่อยให้สรรพเสียงภายนอกไหลผ่านจิตใจ เพื่อชโลมกายที่กักเก็บคำดี ๆ ต่าง ๆ ไว้ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าที่ผ่านมาทั้งวันเป็นปลิดทิ้งตรงนั้นเลย หลังจากนั้นร่วมเขียนสะท้อนความรู้สึกที่กำแพงด้านข้าง เช่นกัน
ห้องที่ 5 : ฟัง ห้องนี้ต้องบอกก่อนว่า หากใครชอบเที่ยวป่าเที่ยวเขาจะอินกับห้องฟังเป็นพิเศษ จัดห้องเป็นพื้นที่นั่งรอบไฟสีส้ม ในความรู้สึกก็คือคล้ายการนั่งในวงสนทนารอบกองไฟในป่ายามค่ำคืน ที่มีทั้งเพื่อน และคนแปลกหน้าล้อมวงเข้าด้วยกัน หากลองหนุนหัวลงบนหมอนรับ ฟัง’ เรื่องราวและรับรู้ว่า เศษเสี้ยวของบทสนทนาหลากเรื่องราวหลายถ้อยคำของแต่ละคนที่ผลัดกันเปิดใจเล่าเรื่องราวของตัวเอง และตั้งใจฟังเรื่องราวของผู้อื่น คุยกัน ความจริงไม่ได้ตัดขาดออกจากกัน นี่จึงเป็นสถานที่ทุกคนพร้อมยอมรับปรากฎความรู้สึกที่กำแพงด้านข้าง
ห้องที่ 6 : สะท้อนอารมณ์ เดินมาจนถึงสุดทางห้องสุดท้าย ชื่อว่าสะท้อนอารมณ์ ได้เห็นความรู้สึกของทุกคนที่เคยผ่านเข้ามาและออกไปมากมาย ทั้งคำขอบคุณที่จะทำให้เราได้รู้สึกใจฟู และได้รับกำลังใจ รวมทั้งคำขอโทษที่พร้อมกระตุกจิตกระชากใจว่าเราเคยทำอะไรหล่นหายในชีวิตไปบ้าง ตื้นตันกับคำขออภัยต่อทุกเรื่องราวในชีวิตที่หลายคนได้สะท้อนถึงการเคยคิดบั่นทอนตัวเอง แล้วมาสะดุดหยุดคิดได้เมื่อเข้าร่วมกิจกรรมงานนิทรรศการ “HOMECOMING พาใจกลับบ้าน” ที่จัดขึ้นโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ Eyedropper Fill ครั้งนี้ ได้
สำหรับเราแล้ว ในพื้นที่นี้เหมือนเป็นพื้นที่ที่เราจะได้รับกำลังใจจากผู้คนที่เคยผ่านเข้ามา และได้ส่งต่อกำลังใจให้กับผู้คนอีกมากมายที่กำลังหาทางกลับบ้านให้หัวใจเช่นเดียวกับเรา ซึ่งสุดท้ายแล้ว เราจะพบกับความรู้สึกแท้จริงในใจของเราเอง ว่า อย่ามองไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว แต่ให้หันมามองตัวเองบ้าง หันมารัก ดูแล เอาใจใส่และยอมรับทุกความเป็นไป ซึ่งสุดท้าย เราจะรับรู้ได้ว่า ยังมีคนที่คอยอยู่เคียงข้างในการเดินทางกลับบ้านของเราเสมอ
และนอกจากนี้ ภายในนิทรรศการ ยังมีภาพยนตร์สารคดี MentalVerse จักรวาลใจ ภาพยนตร์ถ่ายทอดชีวิตต่างวัยของคน 5 คน 5 ภาวะซึมเศร้า ที่พร้อมพาคุณออกเดินทางท่องจักรวาลแห่งหัวใจ ที่ต่างก็มีรากของปัญหามาจากสังคมที่ป่วยไข้เหมือน ๆ กัน
พร้อมออกเดินทางเพื่อพาหัวใจกลับบ้านกันแล้วหรือยัง ถ้าพร้อมแล้ว ชวนไปกันได้เลยที่ นิทรรศการ “HOMECOMING พาใจกลับบ้าน” ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิถุนายน 2566 ณ River City Bangkok ชั้น 2 รีบมาด่วนเลย เพราะคิวเต็มเร็วมาก !!!