เสียงสะท้อนจาก รร.เชียร์อ่าน สู่ข้อเสนอนโยบายสร้างเมืองนักอ่าน


หนูชอบอ่านหนังสือเพราะมันเหมือนการเดินทาง พบเจอสิ่งต่างๆ โอกาสดีๆ ที่พวกเราไม่มีวันได้เจอ อยากขอให้รัฐบาลชุดใหม่ช่วยแก้ไขปัญหาทั้งเรื่องการเข้าถึงการอ่านของเด็กๆ ทั้งประเทศ โดยเฉพาะเด็กด้อยโอกาสให้เป็นรูปธรรมด้วย” เสียงสะท้อนจาก ด.ญ.ศวิมล ภิรมย์ไพร นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รร.ไทยรัฐวิทยา 33อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ในฐานะตัวแทน นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการโรงเรียนเชียร์อ่าน ปีที่ 2 ที่จัดขึ้นโดยแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เพื่อรณรงค์ให้เกิดกระแสรักการอ่านที่ยั่งยืนในโรงเรียนทั่วประเทศ


กว่า 100 ชีวิตที่เข้าร่วมสัมมนาในวันนั้น เป็นเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย ต่างที่มา บ้างมาจากในเมืองหลวง มีห้องสมุดประจำโรงเรียนที่มีหนังสือหลายพันเล่ม ขณะที่บางกลุ่ม มาจากพื้นที่ห่างไกลความเจริญ ลำพังแค่หนังสือเรียนยังต้องใช้วนกันมาหลายรุ่น จนอยู่ในสภาพเก่าและขาดวิ่น


ในการสัมมนาครั้งนี้อาจารย์และนักเรียนแลกเปลี่ยนถึงอุปสรรคที่ทำให้การอ่านหนังสือเป็นกิจกรรมที่เข้าไม่ถึงเยาวชน นอกเหนือจากขาดการปลูกฝังจากครอบครัว ค่านิยมว่าหนังสือเป็นเรื่องน่าเบื่อ ราคาหนังสือที่แพง ขาดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านในสถานศึกษา และมีสื่ออื่นๆ จูงใจมากกว่า จากปัญหาสู่การขบคิดเพื่อสร้างสรรค์กลยุทธ์กลับไปรณรงค์สร้างกระแสรักการอ่านในโรงเรียนและชุมชนของทุกคน เพราะปัญหานี้พวกเขาจะนั่งรอผู้ใหญ่อย่างเดียวไม่ได้ถึงเวลาที่เด็กๆ ลงมือทำด้วยตัวเอง จึงเป็นที่มาของ โครงการโรงเรียนเชียร์อ่านซึ่งทำต่อเนื่องมา 2 ปีแล้ว


จากสถิติการอ่านหนังสือของคนไทยมีค่าเฉลี่ยเพียงปีละ 5 เล่ม ขณะที่อัตราการอ่านหนังสือของเด็กไทยอยู่ในระดับต่ำ หนังสือที่อ่านส่วนใหญ่คือตำราเรียน และอัตราการอ่านลดลงตามลำดับเมื่อมีอายุสูงขึ้น ทุกกลุ่มวัยมีแนวโน้มการอ่านหนังสือลดลง


ปัจจัยหลักที่ทำให้ไม่อ่านหนังสือ เกิดจากสิ่งแวดล้อมที่หล่อหลอมตั้งแต่วัยเยาว์ ทั้งจากครอบครัว จนถึงหน่วยที่ใหญ่ที่สุดคือ รัฐบาล ที่ผ่านมาการรณรงค์ปลูกฝังนิสัยรักการอ่านของสังคมไม่มีเอกภาพ และไม่มีหน่วยงานหรือองค์กรที่เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อน หรือสนับสนุน


นางสุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. ชี้ว่า โครงการโรงเรียนเชียร์อ่าน เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ รณรงค์ระดับชาติ สสส. ให้เยาวชนร่วมคิดค้นกลยุทธ์สร้างวัฒนธรรมการอ่านให้เกิดขึ้นในโรงเรียนและชุมชนของตนเอง ขณะนี้เครือข่ายครอบคลุมตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย และจะค่อยๆ ขยายแนวคิดนี้ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อให้เยาวชนมีทัศนคติที่ดีและมองเห็นคุณค่าของการอ่านว่าสามารถพัฒนาตัวเอง


เปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น ทำให้การอ่านเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตได้


“เรามองว่าที่ผ่านมารัฐบาลประกาศให้ประเทศไทยเป็นทศวรรษแห่งการอ่าน แต่ยังไม่ได้ดำเนินการอย่างจริงจัง จึงอยากเห็นรัฐบาลชุดใหม่เอาจริงเอาจังในเรื่องนี้ เพราะการอ่านคือรากฐานของการศึกษา การเรียนรู้ ใฝ่รู้ หลายพรรคการเมืองขาดการชูเรื่องการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชน และยังไม่มีพรรคการเมืองใดหยิบยกนโยบายการอ่านที่เป็นรูปธรรม ทั้งนี้ภาคีด้านการอ่านเตรียมจัดเวทีรับฟังข้อเสนอจากภาคประชาชนพร้อมเชิญตัวแทนพรรคการเมืองทุกพรรคมาแสดงวิสัยทัศน์การขับเคลื่อนนโยบายด้านการอ่านด้วย”


ด้าน นางสาวสรวงธร นาวาผล ผู้ประสานงานเครือข่ายเยาวชนรักการอ่านและการเรียนรู้ ระบุว่า เราได้เสนอนโยบายข้อเรียกร้องแก่ทุกพรรคการเมือง ใน 2ประเด็น คือ การส่งเสริมให้หนังสือเด็กปฐมวัยมีคุณภาพ โดยจัดตั้งสถาบันวิชาการผลิตผู้สร้างสรรค์เรื่อง และภาพหนังสือเด็กปฐมวัยให้มากขึ้น พร้อมทั้งกำหนดนโยบายให้มีการสนับสนุน ส่งเสริม องค์กร ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคมให้มีศักยภาพในการผลิตหนังสือ เพื่อตอบสนองวัย พัฒนาการทางสมอง และสอดคล้องต่อวิถีชีวิตของชุมชน ท้องถิ่น สังคม และประเทศชาติ สองคือการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงหนังสือของเด็ก โดยให้ทุกครอบครัวที่มีเด็กปฐมวัยได้มีโอกาสเป็นเจ้าของหนังสืออย่างน้อย คนละ 3เล่ม โดยเฉพาะกลุ่มผู้ด้อยโอกาส และกลุ่มเปราะบางทางสังคมในพื้นที่ต่างๆ และจัดสรรงบประมาณอย่างเพียงพอให้โรงเรียนศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถจัดซื้อหนังสือสำหรับเด็กปฐมวัยและสร้างปัจจัย สิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเข้าถึงการอ่าน


นี่คือความพยายามของเยาวชนที่ได้ลงมือจุดติดจิตสำนึกรักการอ่านให้เกิดขึ้นในสังคมไทย พร้อมข้อเรียกร้องที่ผ่านการศึกษาวิจัยมาอย่างจริงจัง เป็นนโยบายสำเร็จรูปพร้อมมอบให้กับทุกพรรคการเมืองคุณภาพที่จะช่วยสานต่อความฝันพาเมืองไทยเข้าสู่ทศวรรษแห่งการอ่านให้เป็นจริงเป็นจังขึ้นมาเสียที


 


 


ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

Shares:
QR Code :
QR Code