เร่งเดินหน้า “ประชารัฐเพื่อสังคม” แก้ 5 เรื่องใหญ่
ที่มา : MGR Online
แฟ้มภาพ
"หากคนไม่ได้รับพัฒนา การเมือง เศรษฐกิจก็ไปไม่ได้" เป็นเหตุผลสำคัญของนโยบาย "ประชารัฐเพื่อสังคม" ที่ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีพยายามดึงเข้ามาเติมเต็มท้องถิ่น และสังคมเพื่อนำไปสู่การสร้างอนาคตของประเทศชาติให้น่าอยู่ร่วมกัน
คำว่า "ประชารัฐ" ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แต่เป็นเรื่องที่ต้องร่วมมือกัน ผลักดันให้เกิดขึ้นเพื่อสื่อสารให้สังคมเข้าใจว่ามีเป้าหมายในการสร้างอนาคตของประเทศอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ยังถือเป็นเรื่องใหม่ที่ต้องสร้างความเข้าใจในสังคม
"อาจจะต้องเพิ่มเรื่องการสื่อสารเพื่อให้สังคมเข้าใจยิ่งขึ้น เช่น ให้ทุกหมู่บ้านมีอาสาประชารัฐเข้าไปอธิบาย สื่อสารในชุมชนได้เข้าใจ" คือวาระสำคัญที่รองนายกรัฐมนตรีได้ฝากเอาไว้ในการประชุมคณะทำงานประชารัฐเพื่อสังคมเมื่อเร็วๆ นี้
สำหรับคณะทำงานดังกล่าว เป็นคณะทำงานสานพลังประชารัฐคณะที่ 13 จัดตั้งขึ้นภายใต้เป้าหมาย "ชุมชนเข้มแข็ง ประชาชนมีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี" โดยมี พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นหัวหน้าทีมภาครัฐ, นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทย เป็นหัวหน้าทีมภาคเอกชน และดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็นหัวหน้าทีมภาคประชาสังคม
ส่วนที่ปรึกษาคณะทำงานฯ ประกอบไปด้วย ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี,ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเวศ วสี และนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยการประชุมครั้งล่าสุด รองนายกรัฐมนตรีเป็นประฐานในการประชุม
ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเวศ วสี สร้างความเข้าใจในเบื้องต้นว่า "ประชารัฐเพื่อสังคม" เป็นหน่วยทักทอทางสังคม หรือหน่วยสัมฤทธิ์ศาสตร์เพื่อสร้างพลังก้ามข้ามข้อจำกัดทุกชนิด ทั้งเชิงพื้นที่ องค์กร และประเด็นอันจะนำไปสู่การสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่
"ประเทศไทยมีทรัพยากรเพื่อการพัฒนามหาศาล มีมากกว่าประเทศสวิตเซอร์แลนด์เสียอีก แต่เราแยกส่วนกัน ไม่ได้เข้ามาเชื่อมโยงกัน เพราะบางคนอาจคิดว่าประเทศไทยจะเจริญได้เมื่อมีความขัดแย้งหรือเห็นตรงข้าม แต่ นโยบายประชารัฐคือการทักทอทางสังคมภายใต้โครงสร้างที่มีอยู่เดิมเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนเชิงพื้นที่ องค์กร และประเด็น" ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเวศ บอก
ด้านหัวหน้าทีมภาคประชาสังคม ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ เผยว่า ที่ผ่านมาภาคประชาสังคม โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่าย มีการดำเนินงานทั้งในด้านวิชาการ การพัฒนาและขับเคลื่อน นโยบาย ที่จะสามารถนำมาขยายผลให้ครอบคลุมมากขึ้นโดยการร่วมมืออย่างจริงจังของภาครัฐ และภาคเอกชน ในรูปแบบประชารัฐ รวมถึงร่วมเสนอแนวทางต่างๆ เพื่อนำไปสู่การแก้ไข อาทิ มาตรการด้านภาษี เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
ดังนั้น ในการประชุมครั้งที่ 1 คณะทำงานประชารัฐเพื่อสังคมจึงได้พิจารณา และเห็นชอบขับเคลื่อนประเด็นทางสังคมที่เร่งด่วน โดยตั้งเป้าหมายจากความร่วมมือ 3 ภาคส่วน ร่วมกันผลักดันแต่ละประเด็นให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในระยะเวลาอันใกล้นี้ หรือ "5 Quick Win" ได้แก่
1. จ้างงานคนพิการ โดยเพิ่มการจ้างงานคนพิการในภาครัฐให้ครบ 15,000 อัตรา ส่วนในภาคเอกชนให้ครบ 10,000 อัตราในปี 2561
"ปัจจุบันมีการจ้างงานคนพิการประมาณ 39,695 คน และเนื่องในโอกาสวันพิการสากล ประจำปี 2559 ตรงกับวันที่ 3 ธันวาคม ได้ประกาศเจตนารมณ์จ้างงานคนพิการเพิ่มขึ้นอีก 16,000 คน เป้าหมายเพื่อให้ได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ หรือ 55,695 คน ของจำนวนคนพิการที่ต้องจ้างงานตามที่กฎหมายกำหนด ภายในปี 2561
2. จ้างงานผู้สูงอายุ ปัจจุบัน 90 เปอร์เซ็นต์ มีศักยภาพที่ทำงานได้ แต่ข้อมูลพบว่าผู้สูงอายุ 34.3 เปอร์เซ็นต์ มีรายได้ต่ำกว่าเส้นยากจน หรือ 2,572 บาทต่อคนต่อเดือน และ 1 ใน 10 ถูกทอดทิ้งให้อยู่ตามลำพัง คาดว่าอีก 12 ปีข้างหน้า จะมีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มเป็น 14.4 ล้านคน อนาคตจะยิ่งใช้งบประมาณดูแลผู้สูงอายุมากขึ้น
ดังนั้น ต้องเร่งสร้างความเข้าใจผู้เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มจำนวนผู้สูงอายุที่เข้าถึงสิทธิประโยชน์ในแต่ละประเด็น โดยเฉพาะการจ้างงาน มติ ครม. เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน เห็นชอบมาตรการรองรับสังคมผู้สูงอายุที่เอกชนสามารถหักรายจ่ายได้ถึง 2 เท่า ของรายจ่ายประเภทเงินเดือนหรือค่าจ้างผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป
3. การออมเพื่อการเกษียณอายุ เป้าหมายแรกคือการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการออม และกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ให้กับประชากรในกลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน และแรงงานนอกระบบเพื่อสร้างหลักประกันด้านเศรษฐกิจในยามสูงวัย
4. พัฒนาที่อยู่อาศัย และระบบนิเวศน์ที่เหมาะสมเพื่อรองรับผู้สูงอายุและคนพิการ คือการสร้างที่พักอาศัยที่ปลอดภัย และมีระบบบริการ ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสมตามแนวคิดการออกแบบเพื่อทุกคน (Universal Design) โดยเน้นการเข้าถึงบริการ และใช้ประโยชน์ได้จริง
5. ความปลอดภัยบนถนน ที่ปัจจุบันพบว่า ทุกชั่วโมงมีคนไทยต้องเสียชีวิต 3 คน คิดเป็นมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจถึง 15.9 ล้านบาท และต้องกลายเป็นผู้พิการ 6 คน คิดเป็นมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจถึง 37.2 ล้านบาท
ดังนั้น สถานประกอบการ โรงงาน นิคมอุตสาหกรรม จะร่วมกันกำหนดนโยบายหรือมาตรการองค์กรเพื่อความปลอดภัยทางถนน ลดการบาดเจ็บ และเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ อาทิ การสวมหมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์ ดื่มไม่ขับ มีการจัดเจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัย ให้การอบรมการขับขี่และควบคุมพฤติกรรมเสี่ยง โดยในประเด็นนี้คาดว่าจะเริ่มประกาศใช้หรือ Kick off ในช่วงปีใหม่ 2560 นี้
"ประเด็นที่คณะทำงานสานพลังประชารัฐเพื่อสังคมนำเสนอทั้ง 5 ประเด็น เชื่อว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ ฝากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องไปคิดต่อว่าจะเกิดนโยบาย หรือโครงการอะไรภายใต้ประเด็นเหล่านี้ ที่จะลงไปในระดับพื้นที่ ไปประสานความร่วมมือให้หน่วยงาน หรือองค์กรอื่นๆ ในพื้นที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมด้วย
ส่วนของเอกชนนั้น ส่วนตัวอยากจะท้าให้มาร่วมกันลงขันจัดตั้งกองทุนประชารัฐเพื่อมาช่วยเสริมทุกภาคส่วนร่วมกันลงงบประมาณ เพื่อให้ประชารัฐเดินต่อไป แม้ว่าการเมืองเปลี่ยนยังไงแต่ประชารัฐจะต้องเดินต่อไป" ดร.สมคิด รองนายกรัฐมนตรีในฐานะที่ปรึกษา และประธานในที่ประชุมคณะทำงานประชารัฐเพื่อสังคมกล่าวทิ้งท้าย