เร่งพัฒนาคุณภาพอาหารเพื่อเด็กไทย
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เร่งพัฒนาคุณภาพอาหารกลางวันเด็กตั้งเป้า 10 ปี ข้างหน้า ส่งเสริมให้เด็กไทยมีโภชนาการสมวัย ไอคิวดี สามารถ ลดภาวะผอม อ้วน และเตี้ย หนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โรงเรียน มีการจัดบริการอาหารแบบครัวกลาง 1 ตำบล 1 ครัวมาตรฐาน พร้อมจัดทำนวัตกรรมโภชนาการสมวัย ฉบับปรับปรุงใหม่ที่ง่ายต่อการนำไปใช้พัฒนา งานด้านการจัดการอาหารและโภชนาการ อย่างมีประสิทธิภาพ
นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองอธิบดี กรมอนามัย เปิดเผยภายหลังเป็นประธาน เปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง "การพัฒนาศักยภาพเครือข่ายด้านการจัดการอาหาร และโภชนาการ" ณ โรงแรมริชมอนด์ จังหวัดนนทบุรี ว่า จากการสุ่มประเมินคุณภาพอาหารโรงเรียนใน 4 ภาค 20 จังหวัด รวม 66 แห่ง ของกรมอนามัยร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 4-14 มีนาคม 2557 โดยทำการสุ่ม ประเมินหลังจากโรงเรียนได้รับค่าอาหารกลางวัน นักเรียนเพิ่มจาก อัตราวันละ 13 บาท/คน เป็น 20 บาท/คน พบว่า มีเพียงร้อยละ 20 ของโรงเรียนเท่านั้นที่สามารถจัดอาหารกลางวัน มีคุณภาพได้มาตรฐาน ที่เหลือยังต้องปรับปรุงทั้งคุณภาพ ปริมาณ และความสะอาด รวมทั้งทักษะด้านการเรียนรู้ร่วมกันในครั้งนี้ จะช่วยให้ภาคีเครือข่ายเข้าใจ หลักการสามารถ ถ่ายทอดและนำชุดความรู้ สื่อ นวัตกรรม ไปประยุกต์ใช้ในการจัดการอาหารและโภชนาการให้มีคุณภาพได้มาตรฐานโภชนาการ สุขาภิบาลอาหาร และอาหารปลอดภัย รวมทั้งขยายผลแหล่งเรียนรู้ด้าน การจัดการอาหารและโภชนาการในชุมชน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและโรงเรียน จากปี 2556 ที่มีอยู่ 706 แห่งเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 300 แห่ง ตลอดจนส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดจังหวัดต้นแบบการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านอาหารและ โภชนาการ อย่างน้อย ภาคละ 1 จังหวัด ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับเด็กไทยประมาณ 6 ล้านคน ได้กินอิ่มอย่างมีคุณภาพ และคาดหวังว่าภายใน ระยะ 10 ปี (พ.ศ. 2567) จะสามารถลดภาวะผอม จากร้อยละ 9.1 เหลือร้อยละ 7 ภาวะอ้วนและเตี้ย จากร้อยละ 17 และ 16.3 เหลือไม่เกินร้อยละ 11 หรืออย่างน้อย ภาวะอ้วน และเตี้ยลดลงได้ ร้อยละ 0.5 ต่อปีเมื่อเทียบกับสถานการณ์เดิม และส่งเสริมให้เด็กไทยเพศหญิงและเพศชายมีความสูง เฉลี่ย 165, 175 ซม. และมีไอคิวเฉลี่ยมากกว่า 100 จุด
นายแพทย์ณรงค์ กล่าวต่อไปว่า ใน ปี 2557 นี้ กรมอนามัยมีเป้าหมายสำคัญที่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการจัดการอาหาร และโภชนาการมากที่สุดใน 3 เรื่อง คือ 1) การบรรจุนักโภชนาการหรือ นักจัดการอาหารและโภชนาการ ระดับตำบล โดยใช้งบประมาณท้องถิ่น 2) การผลักดัน ให้ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น โรงเรียนมีการจัดบริการอาหารแบบครัวกลาง 1 ตำบล 1 ครัวมาตรฐาน 3) การพัฒนาศักยภาพบุคลากร ที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่ให้มีทักษะการจัดการอาหารและโภชนาการ และได้รับการ ตรวจสุขภาพประจำปีทุกคน โดยมี 4 มาตรการขับเคลื่อนงานสู่ความสำเร็จ คือ 1) เร่งรัดให้กระทรวงศึกษาธิการ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำมาตรฐานการจัดการอาหารและโภชนาการไปใช้ใน การพัฒนา ควบคุม กำกับ ติดตาม และตรวจสอบ คุณภาพอาหาร ขนม นม และเครื่องดื่ม รวมทั้ง มีกระบวนการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็ก ครอบครัว และชุมชน ในการพัฒนาพฤติกรรมโภชนาการที่พึงประสงค์ 2) ผลักดันให้ ทุกจังหวัดบรรจุงานอาหารและโภชนาการ เพื่อเด็กไทยมีโภชนาการสมวัย ไว้ในยุทธศาสตร์ จังหวัดและแผนพัฒนาท้องถิ่น โดยมีงบประมาณ รองรับ และนำสู่การปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนพัฒนากลไก กฎระเบียบหรือแนวทางที่เอื้อต่อการจัดการอาหารและโภชนาการ ได้ทันเวลาและมีคุณภาพตามมาตรฐาน 3) ส่งเสริม สนับสนุนให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีระบบควบคุม กำกับ ติดตาม และประเมินผล การจัดการคุณภาพอาหาร ทั้งในระดับพื้นที่ และระดับจังหวัด ปีละ 2 ครั้ง สำหรับส่วนกลาง ประเมินปีละครั้ง พร้อมทั้งมีการเฝ้าระวังภาวะโภชนาการของ เด็กปฐมวัย และเด็กวัยเรียน ต่อเนื่อง โดยการชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง อย่างน้อย ปีละ ๒ ครั้ง สำหรับเด็กกลุ่มเสี่ยงได้รับการ แก้ไขปัญหาโดยมีการติดตามเดือนละครั้ง และ 4) เสริมพลัง สร้างแรงจูงใจให้ทุก อปท. จัดทำและขับเคลื่อนมาตรการทางสังคม ธรรมนูญสุขภาพตำบล หรือข้อบัญญัติท้องถิ่นด้านการจัดการอาหารและโภชนาการที่นำสู่การปฏิบัติได้จริงอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งผลให้ เด็ก ผู้ปกครอง และชุมชน ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โภชนาการที่พึงประสงค์ได้ง่าย และยั่งยืน
"ทั้งนี้ กรมอนามัยยังได้จัดทำนวัตกรรมโภชนาการสมวัย ฉบับปรับปรุงใหม่ที่ง่ายต่อการนำไปใช้พัฒนางาน ด้านการจัดการอาหารและโภชนาการอย่าง มีประสิทธิภาพ ได้แก่ 1) ชุดเรียนรู้สร้างเสริมสุขภาพ เพื่อนักเรียนไทย มีโภชนาการสมวัย ซึ่งบูรณาการใน 8 กลุ่ม สาระการเรียนรู้ ตั้งแต่ ป.1- 6 2) คู่มือมาตรฐาน อาหารสำหรับครู ผู้ดูแลเด็ก แม่ครัว และ ผู้ประกอบอาหาร ใช้กำหนดอาหารที่จำหน่ายหรือบริการศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โรงเรียน ชุมชน ตามเกณฑ์โภชนาการ 3) เครื่องมือการ เฝ้าระวังตนเองด้านอาหารและโภชนาการ ทั้งระดับปัจเจกบุคคล และระดับองค์กร สำหรับชุมชน ศุนย์พัฒนาเด็กเล็ก โรงเรียน และ อปท. ใช้เป็นเครื่องมือประเมินตนเอง เพื่อให้ เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้านโภชนาการ ของพ่อ แม่ ผู้ปกครอง เด็กปฐมวัย และเด็ก วัยเรียน " รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวในที่สุด
ที่มา: มติชนออนไลน์
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต