‘เรื่องดีๆ บ้านฉัน อยากปันให้เธอรู้’
รอลุ้นกันเป็นปีที่สอง หลังจากหมดเขตส่งผลงานไปเมื่อวันที่ 15มกราคม 2554ที่ผ่านมา สำหรับโครงการจัดประกวดเรียงความโดยหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ที่ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยปีนี้เป็นการประกวดในหัวข้อ “เรื่องดีๆ บ้านฉัน อยากปันให้เธอรู้”
เรียงความดังกล่าวสำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยม โดยที่มาของความคิดนี้มาจากการเปิดเวทีให้น้องๆ ได้เล่าเรื่องราวที่เห็นว่าเป็นเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง โรงเรียน ชุมชน ในบ้าน เป็นการแบ่ง ปันประสบการณ์ให้กับเพื่อนๆ ได้ฟังกัน โดยมีวัตถุ ประสงค์ดังนี้
ประการแรก เพื่อเป็นเวทีแสดงความคิดเห็น ในทางสร้างสรรค์สำหรับเยาวชน สองเพื่อให้เยาวชนสนใจเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมรอบตัว สามเพื่อให้เยาวชนมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์สังคมและชุมชนที่น่าอยู่ ต่อมาคือ เพื่อให้เยาวชนได้แบ่งปันเรื่องราวที่ประทับใจในชุมชนของตนสู่สังคมอื่นๆ และในประเด็นสุดท้าย เพื่อให้เยาวชนรักสามัคคีและภูมิใจในสังคมชุมชนของตนและชาติไทย
ทั้งนี้ จากการเดินสายไปแนะนำรายละเอียดของการประกวดกับบรรดาอาจารย์และน้องๆ หลายแห่ง ได้รับคำตอบจาก นางโสภา ศรีวัฒนานุกูลกิจ หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้กลุ่มภาษาไทย โรงเรียนศึกษานารี ว่าโครงการนี้ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ดีมากๆ ที่จะเปิดโอกาสให้เยาวชนได้แสดงออกถึงความคิด ความรู้สึกประทับใจ ที่มีอยู่ในชุมชนของตัวเอง เช่น บ้าน โรงเรียน หรือแม้แต่ชุมชนของเราขนาดใหญ่ในระดับประเทศไทย
สำหรับตัวครูแล้วคิดว่า เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการ จะได้รับประโยชน์มากมาย ทั้งฝึกด้านการคิด การเขียน โดยเฉพาะการเขียนภาษาไทยของเด็กในปัจจุบัน เพราะจากประสบการณ์โดยตรงของครูนั้น สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ การเขียนที่ไม่สามารถอธิบายขยายความได้ รวมถึงการใช้คำที่ฟุ่มเฟือย เช่น คำสันธาน เป็นต้น
ดังนั้น ข้อสอบของครูทุกครั้ง ครูจะบอกนักเรียนเสมอว่า จะมีข้อสอบอัตนัยด้วย เพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ฝึกเขียนมากยิ่งขึ้น ซึ่งโครงการนี้ก็จะช่วยสนับสนุนการเขียนของเด็กๆ โดยที่ครูจะมอบให้เป็นการบ้านสำหรับเด็กมัธยมปลายในโรงเรียนต่อไป
นางสาวปวัณรัตน์ ปัญจธารากุลมัธยมศึกษาปีที่ 6พูดถึงโครงการประกวดเขียนเรียงความครั้งนี้ว่า เป็นเหมือนเวทีให้พวกเราได้แสดงความคิด ความรู้สึกประทับใจที่มีต่อชุมชนของเรา ผ่านทางการเขียนเรียงความ ซึ่งจะช่วยฝึกเรื่องการใช้ภาษาไทยของพวกเราให้ดียิ่งขึ้น ที่ผ่านมา ได้ส่งผลงานเขียนเรียงความเข้าประกวดบ้าง แต่จะเป็นการจัดการประกวดภายในโรงเรียน โดยที่ครูจะสั่งเป็นการบ้าน แต่ครั้งนี้เป็นการประกวดเรียงความในระดับมัธยมศึกษาทั่วประเทศ ซึ่งรู้สึกสนใจและคิดว่าจะส่งผลงานเข้าประกวดในครั้งนี้ด้วย
ทางด้าน นางสาวอนัญพร อิ่มจงใจรักษ์ มัธยมศึกษาปีที่ 6พูดเพิ่มเติมถึงโครงการครั้งนี้ว่า รู้สึกสนใจในโครงการประกวดเขียนเรียงความในครั้งนี้ เนื่องจากว่าเป็นคนรักการอ่านเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว อีกทั้งเมื่ออ่านไปเรื่อยๆ ก็เกิดความรู้สึกว่าอยากเขียนขึ้น ซึ่งโครงการนี้ก็เปรียบเสมือนโอกาสในการแสดงฝีมือในการเขียนออกมาอย่างเต็มที่ สำ หรับหัวข้อเรื่องดีๆ บ้านฉัน อยากปันให้เธอรู้นั้น พอได้ฟังแล้ว ก็นึกถึงประเทศไทยที่เป็นชุมชนขนาดใหญ่ ซึ่งอยากเขียนเรื่องราวดีๆ ในประเทศไทย ให้เพื่อนหรือชาวต่างชาติได้รับรู้ตรงนี้มากยิ่งขึ้น
ส่วน นางสาวนงนุช นาคมาศ ครูหัวหน้ากลุ่มสาระภาษาไทย โรงเรียนมัธยมวัดนายโรง ได้กล่าวถึงโครงการประกวดเขียนเรียงความหัวข้อ “เรื่องดีๆ บ้านฉัน อยากปันให้เธอรู้”ว่า เป็นโครงการที่จะฝึกฝนให้เด็กได้กล้าแสดงออกทางความคิดสร้างสรรค์และกล้าพูดสิ่งในสิ่งที่ดีๆ ออกมา ซึ่งปีนี้ได้กำหนดหัวข้อคือเรื่องดีๆ บ้านฉัน อยากปันให้เธอรู้ สำหรับครูคิดว่าเป็นหัวข้อที่ดีมากๆ เพราะจะทำให้เด็กหันมาสังเกตและสนใจสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว ส่งผลให้เด็กเกิดความรู้สึกอยากเข้าไปมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ชุมชน สังคมให้น่าอยู่มากยิ่งขึ้นด้วย และในปีต่อๆ ไปครูก็พร้อมจะสนับสนุนโครงการดีๆ แบบนี้อีกครั้ง
นางสาวณัฐมนฑ์ สัมพัฒนวรชัยนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5/1พูดถึงการประกวดเขียนเรียงความในครั้งนี้ว่า เป็นโครงการที่ดี ทำให้เยาวชนได้มีเวทีแสดงความคิดเห็น ที่มีต่อชุมชนที่เราอาศัยอยู่ อีกทั้งยังให้พวกเราได้ฝึกฝนทั้งด้านการลำดับความคิด การฝึกเขียนภาษาไทยให้ดีมากยิ่งขึ้นด้วย สำหรับหัวข้อเรื่องดีๆ บ้านฉัน อยากปันให้เธอรู้นั้น ครั้งแรกที่ได้ยินทำให้ให้รู้สึกถึงสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัว เช่น บ้าน และโรงเรียน โดยทั้งสองที่นี้ก็มีสิ่งประทับใจมากมายที่อยากเขียนและนำเสนอ ฉะนั้นคิดว่าจะเข้าร่วมประกวดเขียนเรียงความครั้งนี้
หลังจากนี้ อีกไม่นานเราก็คงได้รู้ว่าผลงานของน้องๆ คนไหนที่เข้าตากรรมการ เรื่องดีๆ ของน้องๆ คนไหนที่ประทับใจและทำให้รู้สึกดีๆ กันถ้วนหน้า แต่ไม่ว่าน้องจะได้รางวัลหรือไม่ก็ตาม สิ่งหนึ่งที่อาจารย์ทุกท่านและผู้ใหญ่ทุกคนฝากมาบอกก็คือ การได้ลงมือทำก็นับเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจแล้ว
ที่มา:หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์