เฝ้าระวัง’โรคลิชมาเนีย’

/data/content/25711/cms/e_acdfgklmnpr9.jpg


          สธ.ร่วม 4 ประเทศกวาดล้าง “โรคลิชมาเนีย” ระบุพบในไทยน้อย แต่หากป่วยอาจรุนแรงถึงชีวิต แนะวิธีป้องกันเดินทางไปพื้นที่เสี่ยงแถบตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ


          นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า โรคลิชมาเนีย (Leishmania) หรือโรคคาลา-อาซาร์ (Kala-azar) เป็นโรคประจำถิ่นแถบตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือกว่า 74 ประเทศ เกิดจากแมลงริ้นฝอยทรายกัดและแพร่เชื้อ พบผู้ป่วยปีละ 1.2 ล้านคน เสียชีวิตประมาณ 1,000 คน องค์การอนามัยโลกจัดให้เป็น 1 ใน 6 โรคเขตร้อนที่ต้องเร่งกวาดล้าง ซึ่งการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อ 9 ก.ย. 2557 ที่บังคลาเทศ ได้ลงนามความร่วมมือด้านวิชาการใน 5 ประเทศ ได้แก่ บังกลาเทศ ภูฏาน อินเดีย เนปาล และไทย เพื่อขจัดโรคและลดจำนวนผู้ป่วยระดับอำเภอ ตำบลให้น้อยกว่า 1 คนต่อประชากร 10,000 คนภายในปี 2560


          “สำหรับประเทศไทยพบผู้ป่วยโรคนี้น้อยมาก ตั้งแต่ปี 2503 – 2556 มีเพียง 63 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิต ส่วนใหญ่พบในผู้ที่เดินทางกลับมาจากตะวันออกกลาง ในการกวาดล้างโรคดังกล่าว ได้ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ทั่วประเทศเฝ้าระวังโรค โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีประชาชนเดินทางไปทำงานที่ประเทศที่มีโรคนี้เป็นโรคประจำถิ่น และประชาสัมพันธ์ความรู้เรื่องโรค วิธีการป้องกันให้แก่ประชาชนในพื้นที่ เพื่อความร่วมมือในการควบคุมป้องกันโรคให้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น” ปลัด สธ.กล่าว


          ด้าน นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า โรคลิชมาเนียเป็นโรคที่เกิดในสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง เช่น กระรอก กระแต หนู สุนัข เป็นต้น และแพร่มาสู่คน โดยแมลงริ้นฝอยทรายเพศเมียเป็นพาหะนำเชื้อ โดยจะดูดเลือดของสัตว์ที่มีเชื้อโปรโตซัวลิชมาเนียซึ่งอยู่ในเซลล์เม็ดเลือดขาวสัตว์ และมากัดคนต่อ หลังติดเชื้อจะมีระยะฟักตัวโดยเฉลี่ยประมาณ 3-6 เดือน จึงปรากฏอาการ ริ้นฝอยทรายจะอาศัยอยู่ตามพื้นดิน ในที่มืด เย็น ชื้น เช่น กองอิฐ หิน ไม้ฟืน จอมปลวกเก่า รอยแตกของฝาผนังหรืออิฐ ตอไม้ผุ หรือพื้นดินที่มีใบไม้ปกคลุมในป่าทึบ และใกล้คอกสัตว์ โดยผู้ป่วยจะมีอาการป่วยแบบค่อยเป็นค่อยไป มีไข้เรื้อรัง เป็นๆ หายๆ ซีด อาจมีเลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน ท้องอืด ตับม้ามโต น้ำหนักลด ต่อมน้ำเหลืองโต ผิวหนังคล้ำขึ้น ไม่มีแรง บางรายมีแผลที่ผิวหนัง และที่เยื่อบุรอบปากและจมูก ที่รอยกัดจะเป็นตุ่มแดงและแตกเป็นแผล ไม่เจ็บ อาจเป็นๆ หายๆ รักษานานหลายปี แผลมักขึ้นที่หน้าและใบหู โรคนี้มียารักษาหายขาด บางรายอาจเกิดโรคแทรกซ้อนเช่นปอดบวม ซูบซีด กระเพาะอาหารลำไส้อักเสบ หากไม่ได้รับการรักษาหรือรักษาช้าอาจเสียชีวิตได้


          “การป้องกันคือ ไม่ให้ริ้นฝอยทรายกัด โดย 1. สวมใส่เสื้อผ้าให้มิดชิด เช่น ยัดปลายขากางเกงในรองเท้า ยัดปลายเสื้อในกางเกง เนื่องจากริ้นฝอยทรายมีปากสั้น ไม่สามารถกัดผ่านเสื้อผ้าได้ 2. ทายากันแมลงที่ผิวหนังนอกร่มผ้า 3. นอนกางมุ้งที่ชุบด้วยยากันยุงและแมลง เก็บกวาดบ้านเรือนให้สะอาด หากกลับจากพื้นที่ระบาดใน 3-6 เดือนแล้วมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย ท้องเดิน ท้องผูก เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ให้พบแพทย์และแจ้งประวัติการเดินทาง เพื่อการรักษาอย่างรวดเร็วและถูกต้อง” อธิบดี คร.กล่าว


 


 


          ที่มา : เว็บไซต์ ASTV ผู้จัดการออนไลน์


          ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

Shares:
QR Code :
QR Code