เปิดใจ-เปลี่ยนทางคิดปฐมบทค่ายสร้างคน
ผลสำเร็จของการ “สร้างคน” ให้สมเจตนารมณ์ “สร้างค่าย” อาจต้องใช้กาลเวลาและอุปสรรคชีวิตเป็นบทพิสูจน์ผลลัพธ์ หากเมื่อได้เริ่มต้นด้วยความตั้งใจ ทุกครั้งที่เข็มนาฬิกาเคลื่อนที่มีบางสิ่งไม่สูญเปล่า
เศรษฐกิจพอเพียง-สิ่งแวดล้อม-การรวมพลังเครือข่ายสังคม ฯลฯ เป็นประเด็นหลักที่เยาวชนซึ่งเป็นผลิตผลจากการอบรมผู้นำ “ค่ายอาสาพัฒนาสร้างเสริมสุขภาพ ย้อนรอยครูโกมล” โดยมูลนิธิโกมลคีมทอง เลือกใช้เป็นแก่นกิจกรรมในวันที่ต้องเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้ร่วม” เป็น “ผู้รับผิดชอบค่าย” ด้วยประเด็นดังกล่าวมีขอบข่ายเนื้อหากว้าง สามารถประยุกต์ใช้ในทุกบริบทชุมชนที่ “ชาวค่าย” ไปฝังในพื้นที่
“เรานำประเด็นเหล่านี้ไปนำเสนอกับชุมชนที่ไปอยู่ และได้รับการตอบรับที่ดี อย่างเช่น เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง การอดออม เป็นเรื่องที่ชาวบ้านเห็นด้วยอยู่แล้ว แต่การต่อยอดจากนั้นเขาอาจยังไม่รู้วิธี อาทิ การทำบัญชีครัวเรือน ทำบัญชีชุมชน ชาวบ้านอาจมองไม่เห็นภาพว่าต้องทำอย่างไร ดังนั้นหน้าที่ของพวกเราคือการนำความรู้ที่เราศึกษา-ค้นคว้าไปถ่ายทอดให้ชาวบ้านจนเกิดการปฏิบัติได้จริง” มนฑล กระจ่าง (แบงค์) นักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ผู้รับผิดชอบโครงการ “ค่ายตามรอยพ่อ..วิถีพอเพียง” พูดถึงวิธีการสร้างกิจกรรมที่ช่วยสร้างองค์ความรู้ใหม่ให้แก่ชุมชน
แบงค์ บอกว่า การลงพื้นที่คือการแลกเปลี่ยนกันระหว่างชาวบ้าน อะไรที่ชาวบ้านรู้มากกว่าเราต้องฟัง เรื่องใดที่เรามีข้อมูลเราจะบอก หรืออะไรที่ชาวบ้านรู้อยู่แล้วแต่เขายังไม่แน่ใจว่าที่ทำอยู่จะดีไหม เช่นการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ทำการเกษตร ซึ่งตรงกับหลักวิชาการที่ได้เรียน พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าผลผลิตอาจเท่าเดิมแต่ลดต้นทุนได้เยอะกว่า ก็บอกให้ทำต่อไป ชาวบ้านก็มั่นใจมากขึ้น “เมื่อได้แลกเปลี่ยนร่วมกันทำให้เกิดการเติบโตทางความคิดอยู่ตลอด เป็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งในตัวเราและตัวชาวบ้านเอง แต่ท้ายที่สุดชาวบ้านจะนำเอาวิถีพอเพียงไปใช้เป็นกิจวัตรในชุมชนหรือไม่ขึ้นอยู่กับพวกเขาที่จะเห็นคุณค่ามากน้อยแค่ไหน” แบงค์ ขยายความ
สำหรับประสบการณ์เฉพาะตัวที่ได้รับและทำให้ทัศนคติเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่เริ่มทำกิจกรรมนั้น นักศึกษาหนุ่มรายนี้มองว่าเป็นเรื่องของความรับผิดชอบ เพราะจากเดิมที่เป็นเพียงผู้ร่วมกิจกรรม แต่เมื่อเป็นผู้รับผิดชอบโครงการนั้นหมายถึงความรับผิดชอบที่มากขึ้น การมีเหตุมีผลรับฟังสมาชิกร่วมค่ายมากขึ้น เสมือนว่าเกิดการเติบโตทางวุฒิภาวะพร้อมๆ กับที่ได้ลงแรงทำงาน
เช่นเดียวกับธีรศักดิ์ ศรีสันต์ (ฟิล์ม) นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรี หัวเรือใหญ่กิจกรรม “ค่ายเล็กกลางป่า พัฒนาบ้านพุราย” ที่พาชาวค่ายบุกตะลุยไปจัดกิจกรรมถึงชุมชนบ้านพุราย อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี สะท้อนมุมมองประสบการณ์ที่เกิดฉุกคิดระหว่างทำค่ายจนกลายเป็นจุดเปลี่ยนของตัวเองว่า ในฐานะนักศึกษาเคยมีมุมมองว่าการออกค่ายคือการไปช่วยเหลือคน ชาวบ้านที่มีฐานะยากจนกว่า ไม่ได้รับการศึกษาเหมือนเรา ดังนั้นจึงมีภาพที่ว่าเรายืนอยู่จุดที่สูงกว่า เราคือผู้ให้ ชาวบ้านเป็นผู้รับเท่านั้น
“แต่บอกเลยว่าหากคุณคิดแบบนี้มันไม่ถูกแน่ อย่างผมเรียนวิทยาศาสตร์การเกษตร ผมเห็นชุมชนที่ไปเขาปลูกยางกัน ผมไปบอกชาวบ้านเลยว่าเขาควรต้องดูแลอย่างไร ตัดเวลาไหน กี่องศา เรื่องนี้เราเรียนมาเราต้องรู้ดีกว่าใคร”
“พอเอาเข้าจริงๆ ทฤษฎีที่ท่องมามันผิดเกือบหมด มันเป็นเรื่องของความชำนาญ ของวิถีชีวิตที่อยู่กับชาวบ้านมาหลายรุ่น ชาวบ้านต่างหากที่รู้ดีกว่าผม เขารู้ดีว่าต้นยางในชุมชนควรตัดเวลาไหน ตัดอย่างไร ต้นนี้มีอายุเท่าไร ต้องตัดเฉียง ตัดเอียงน้อยลงมาหน่อย ชาวบ้านเขารู้หมด และเราทำอย่างเขาไม่ได้เลย” ฟิล์มอธิบายถึงประสบการณ์เฉพาะตัวที่ตัวเองได้รับ
ถึงเช่นนั้นกิจกรรมบางอย่างที่ชาวค่ายอย่างเขาและเพื่อนทำได้ดี อาทิ การสอนหนังสือให้แก่เด็ก การสอนสุขลักษณะในเรื่องการบริโภคอาหาร การบอกเล่าถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมในชุมชน กระทั่งสอดแทรกความรู้ทางวิทยาศาสตร์อื่นๆ ที่สอดคล้องกับวิถีความเป็นอยู่
“มันไม่ได้หมายความว่าใครจะรู้ดีมากกว่าใครในทุกๆ เรื่องตลอด อยู่ที่ว่าเราจะเลือกรับส่วนที่ดีส่วนไหนมาปรับปรุงส่วนด้อยของตัวเอง การทำกิจกรรมในหนนี้ แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แค่สัปดาห์เดียว แต่ผลที่ได้รับมันจะอยู่ติดกับเราไปตลอด” เขาอธิบายเสริม
นอกจากการปรับทัศนคติ-ความคิดของชาวค่ายที่มีผลพวงจากการทำกิจกรรมแล้ว องค์ความรู้ในประเด็นปัญหาชุมชนเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่หากไม่ได้ลงพื้นที่ร่วมกิจกรรมจะไม่มีทางที่จะเข้าใจในแก่นของปัญหานั้นเลย
“ไก่” วัฒนะ เกษมราษฎร์ อธิบายได้ดีถึงกรณีนี้หลังจากที่ร่วมทำค่าย “โฉนดชุมชน สิทธิชนในเขา” โดยไก่ เล่าว่า แรกเริ่มรู้จักโฉนดชุมชนในแง่ของที่ทำกินที่รัฐบาลต้องจัดสรรให้ชาวบ้านที่ไม่มีที่ทำกินเพียงอย่างเดียว
“มันก็ไม่ผิด แต่ไม่ถูกทั้งหมด ผมเข้าใจโฉนดชุมชนมากขึ้นก็วันนี้นี่แหละ โฉนดชุมชนเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับสิทธิชุมชน วัฒนธรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ เป็นเรื่องของความสามัคคี การรวมเป็นหนึ่งเดียวของชุมชนที่จะร่วมกันปกป้องดูแลรักษาป่า ควบไปกับการทำมาหากินในพื้นที่ มิใช่ว่ารัฐจะจัดสรรให้แก่ใครเพราะยากจนแล้วจะไปทำอะไรก็ได้”
“แต่ประเด็นเรื่องนี้มันมีหลายส่วนที่ผมคิดว่าหากเราจะลงพื้นที่ไปร่วมกิจกรรมครั้งต่อไปก็จำเป็นต้องศึกษาอีก เช่น พื้นที่ใดสมควรจัดสรรทำโฉนดชุมชนได้ อย่างการตีความพื้นที่เป็นอุทยานก็ต้องมองตามหลักของกฎหมายไปพร้อมๆ กับสิทธิของชุมชน ผมและเพื่อนเองก่อนไปก็มองอย่างหนึ่ง พอกลับมาก็เปลี่ยนมุมมองไปอีกแบบหนึ่ง ซึ่งอาจจะรู้จริงบ้างไม่จริงบ้าง ต้องศึกษาต่อ”
เขาเรียกอารมณ์ที่เกิดกับตัวเองนี้ว่า “จุดประกาย” โดยขยายความให้เราเข้าใจง่ายๆ ว่า การทำกิจกรรมครั้งนี้ช่วยจุดประกายบางอย่างให้เขาต้องกลับมาศึกษาต่อเพื่อรอวันให้มีโอกาสกลับไปใหม่
ขณะที่เมื่อประมวลมุมมองจากผู้ร่วมกิจกรรมแล้วความเห็นของวีรพงษ์ เกรียงสินยศ กรรมการแผนสนับสนุนโครงการเปิดรับทั่วไปและนวัตกรรม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มองว่า น่าพอใจมากหากกิจกรรมฯ ได้ช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีเช่นนี้ โดยกิจกรรมค่ายอาสาพัฒนาสร้างเสริมสุขภาพ ย้อนรอยครูโกมล จนถึงค่ายย่อยที่เยาวชนเป็นผู้รับผิดชอบเองเมื่อช่วงตุลาคมที่ผ่านมานี้ จุดประสงค์หลักคือการที่เยาวชนจะรู้จักความเป็นจริงในสังคม เข้าใจปัญหาร่วมกับชาวบ้านในชุมชน
“ส่วนเนื้อหาของค่ายจะเข้มข้นอย่างไรนั้นเป็นเรื่องที่เยาวชนจะเป็นผู้ออกแบบเอง เป็นการพัฒนาในขั้นต่อๆ ไป แต่สิ่งที่พวกเขาจะได้กลับมาเลยคือประสบการณ์ การรู้จักพึ่งตนเอง มองปัญหาได้หลากหลาย ที่สำคัญคือได้เกิดเครือข่ายเยาวชนที่มีจิตสาธารณะ เพื่อร่วมกันทำสิ่งที่ดีในวันข้างหน้าต่อไป”
“ทั้งนี้ใช่ว่ากิจกรรมเช่นนี้เยาวชนอื่นๆ ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ทำค่ายจะร่วมไม่ได้ เราเปิดโอกาสให้ทุกคนได้มีโอกาสเข้ามาเรียนรู้แลกเปลี่ยนความสนใจซึ่งกันและกัน โดยเริ่มจากในวันเสาร์ที่ 28 พ.ย.นี้ โครงการค่ายอาสาฯ จะจัดกิจกรรม “มหกรรมค่ายสร้างสุข ตอนคบเด็กสร้างค่าย” เพื่อเป็นเวทีพูดคุยถึงประสบการณ์การจัดกิจกรรมค่าย บอกเล่าความถนัดของเยาวชนแต่ละกลุ่ม รวมถึงการออกร้านและแสดงนิทรรศการของชาวค่ายที่ได้ลงพื้นที่มา ณ สวนสันติชัยปราการ ถ.พระอาทิตย์ ตั้งแต่ 10.00 น.เป็นต้นไป ซึ่งหากใครที่ไม่เคยทำค่ายเลยลองมาร่วมดูสักครั้ง”
แล้วจะรู้ว่าทุกครั้งที่เข็มนาฬิกาเคลื่อนที่เราเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ทุกเวลา
ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
update: 19-11-52
อัพเดทเนื้อหาโดย: ภราดร เดชสาร