เปิดหัวใจ “พ่อ” หันหลังให้น้ำเมา
เลือกทางเดินสายใหม่เพื่อลูก
ช่วงส่งท้ายปีบรรยากาศเฉลิมฉลองต้อนรับปีใหม่เริ่มอบอวลไปทั่วทุกมุมโลก แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว อาจจะแตกต่างจากประชากรโลกประเทศอื่นๆ สักหน่อย ที่เดือนสุดท้ายของปีเรามีวันสำคัญอีกวันที่คนไทยทั้งชาติไม่เคยลืมนั่นคือ วันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ และวันดังกล่าวยังเป็น“วันพ่อ”อีกด้วย
เนื่องในโอกาสดีๆ เช่นนี้ เรามีคุณพ่อตัวอย่างที่เข้าร่วมกับมูลนิธิเพื่อนหญิงซึ่งเป็นภาคีเครือข่ายที่ทำงานร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)ในการเลิกเหล้า มาบอกเล่าให้ฟังค่ะ
ลุงขจร (นามสมมติ) ปัจจุบัน อายุ 56 ปี ลุงขจรเข้ามาทำงานโรงงานที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่ยังไม่แตกเนื้อหนุ่ม หลังจบชั้น ป. 4 และที่นี่เองที่ลุงเริ่มดื่มเหล้าเป็นครั้งแรก ในช่วงแรกการดื่มกินเป็นไปเพื่อสังสรรค์ในกลุ่มเพื่อนเล็กๆ ต่อมากลายเป็นดื่มประจำทุกเย็นวันอาทิตย์ รายได้ที่ไม่มากนักจึงไม่พอกับค่าใช้จ่าย ทั้งที่ทำงานมาหลายปีแต่ก็ไม่มีเงินเหลือเก็บ ลุงจึงเปลี่ยนอาชีพมาขับรถแท็กซี่แทน
ช่วงที่ขับรถแท็กซี่ ลุงขจรได้แต่งงานกับหญิงสาวที่รัก และมีลูกด้วยกัน 3 คน ซึ่งอาชีพขับรถแท็กซี่มีรายได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ววันละ 200-300 บาท นับเป็นรายได้ที่สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ดีพอสมควร แต่ทุกเย็นหลังจากเลิกขับรถแท็กซี่แล้ว ลุงขจรกลับนำเงินไปซื้อเหล้าดื่มวันละ 100 บาท นั่นทำให้บางวันลุงไม่มีเงินเหลือกลับมาบ้านเลย ขณะที่ภรรยาของลุงอยู่บ้านดูแลลูกไม่ได้ประกอบอาชีพ เมื่อรายได้ไม่พอใช้จ่ายในครอบครัว ลุงและภรรยาจึงมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นประจำ
เมื่อครอบครัวมีปัญหาเศรษฐกิจมากขึ้น ลุงขจรได้นำลูกไปฝากญาติที่ต่างจังหวัดเลี้ยง เนื่องจากค่าใช้จ่ายในกรุงเทพฯ สูงมาก แต่ปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกับภรรยาก็ไม่ได้ลดลง กลับมีมากขึ้นเมื่อลุงดื่มเหล้าเมามายจนเพื่อนต้องพามาส่งที่บ้าน
ลุงขจร เล่าว่า ในช่วงแรกที่เริ่มดื่มเหล้านั้น เพื่อให้หลับสบาย เจริญอาหาร แต่ยิ่งนานวันก็ยิ่งดื่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และทำให้นิสัยของลุงก็เปลี่ยนไปด้วย จากคนสนุกสนาน เป็นคนขี้โมโห หงุดหงิดง่าย เมื่อภรรยาบ่นจะระงับอารมณ์ตนเองไม่ได้ ก็จะทะเลาะและทุบตีภรรยา
ขณะเดียวกันภรรยาของลุงก็เริ่มช่วยหารายได้ด้วยการเช่าที่ตั้งร้านขายส้มตำ พอมีเงินส่งให้ลูกๆ ได้ จนเมื่อลูกทั้งสามโตพอช่วยเหลือตนเองได้ ลุงและป้าจึงตัดสินใจกลับมาอยู่บ้านเกิดเพราะอาชีพที่ทำรายได้เริ่มน้อยลง ประกอบกับอายุที่เริ่มมากขึ้น
เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่บ้านเกิด
หลังจากกลับมาอยู่บ้าน มาอยู่ในสังคมเพื่อนเก่า เพื่อนๆ ก็เริ่มชักชวนให้ลุงดื่มเหล้า ทำให้ลุงขจรดื่มมากขึ้นอีกจนถึงขั้นไม่ยอมทำงาน ลุงเล่าว่าตอนนั้นคิดถึงแต่ความสุขตนเอง เพราะคิดว่าลูกก็โตหมดแล้วไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมาก
“มีอยู่ช่วงหนึ่ง กลับจากทำนาอยากกินเหล้ามาก เปรี้ยวปากจึงซื้อเหล้ามากิน เมื่อได้กินก็กินยาวไปเลยเพราะกินแล้วรู้สึกว่านอนสบาย ไม่อยากทำงาน ช่วงนั้นคิดแต่สนุก และคิดว่าลูกโตพอรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว วันหนึ่งต้องกินเหล้าขาว 40ดี กรี ประมาณ 3-4ขวด ถ้ามีเพื่อนก็จะนั่งกินยาว เมาก็นอนตรงนั้นจนหมาเลียปาก”ลุงขจรเล่าถึงสภาพตอนนั้นให้ฟัง
ระยะหลังๆ ภรรยาลุงขจรเริ่มไม่สนใจลุง เพราะเริ่มหมดความอดทน จึงไม่พูดเตือนให้ลุงเลิกเหล้าอีกต่อไป มีแต่ลูกๆ ที่ขอร้องให้ลดการดื่มลงบ้าง โดยขอให้คิดถึงอนาคตของลูกๆ และความอับอายที่มีพ่อขี้เหล้า ลุงขจรเล่าถึงคำพูดของลูกว่า
“ครอบครัวเรายากจนอยู่แล้ว พ่อกินแต่เหล้าเงินไม่มีเหลือเลย ลูกๆ ก็ต้องเรียน เมื่อพ่อเมาลูกก็อายเพื่อนๆ”
นอกจากลูกๆ แล้ว น้องสาวของลุงยังขอร้องให้ลุงลดการดื่มลงบ้าง และพยายามให้โอกาสลุงได้พิสูจน์ตนเอง โดยการชักชวนให้เข้าร่วมทำงานชุมชน ลุงได้เข้ามาเป็นเหรัญญิกกลุ่มออมทรัพย์และเป็นประชาคมในหมู่บ้าน จากประสบการณ์การทำงานให้ชุมชน ซึ่งเป็นสังคมที่กว้างขึ้น ทำให้ลุงได้เห็นสภาพปัญหาจากการดื่มเหล้า น้องสาวได้พูดให้ลุงขจรได้คิดได้ว่าการดื่มเหล้าทำให้คนขาดความเชื่อถือ
“พี่เห็นสภาพเพื่อนที่เมาเหล้าไหม เหมือนหมาตัวหนึ่งที่ไร้ค่า คนก็ไม่เชื่อถือ พี่อยากเป็นแบบนั้นไหม ให้พี่คิดถึงลูกให้มากๆ เดี๋ยวเขาจะมีปัญหานะ”
คำพูดของน้องสาวทำให้ลุงเกิดความตั้งใจที่จะเลิกเหล้า ความพยายามเลิกเหล้าของลุงได้รับการยอมรับเป็นตัวอย่างให้คนในชุมชนเห็นว่าคนที่เคยติดเหล้าอย่างหนัก หากมีความตั้งใจจริงก็สามารถเลิกเหล้าได้ ลุงขจรยังได้ปรับเปลี่ยนตนเองกลายเป็นคนใหม่ ช่วยเหลืองานพัฒนาในชุมชน ทำให้คนในชุมชนยอมรับนับถือลุงขจรมากขึ้นจนได้รับการยอมรับให้เป็นผู้นำชุมชน
“การให้โอกาสและเห็นคุณค่าของเราทำให้เราคิดได้ หากไม่เป็นผู้นำก็คงจะห่างจากเหล้าไม่ได้ง่าย เพราะตัวเองไม่มีสิ่งกระตุ้นแต่การให้โอกาสเป็นผู้นำทำให้เลิกเหล้าได้เร็ว เมื่อเลิกแล้วทำให้รู้สึกว่ามีชีวิตใหม่ เมื่อก่อนที่ยังดื่มเหล้าพอเราเข้าสังคมผู้นำหมู่บ้าน เพื่อนบ้านก็ไม่อยากคุยด้วย”ลุงขจรกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลังจากเลิกเหล้าได้ 1 ปี ลุงขจรได้พยายามชักชวนเพื่อนในชุมชนให้หันมาลด ละ เลิกเหล้าด้วย ซึ่งมีหลายคนเริ่มเห็นปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับตนเองและครอบครัวและเห็นตัวอย่างของลุงขจร จึงมาเข้าร่วมกลุ่มลด ละ เลิกเหล้ากับลุง ลุงขจรเล่าถึงสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นหลังการเลิกเหล้าว่ามีสุขภาพดีขึ้นทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ครอบครัวก็มีความสุขขึ้น ลุงขจรคิดว่าหากไม่ได้ครอบครัวและญาติพี่น้องช่วยตักเตือนด้วยความเป็นห่วงแล้ว ลุงก็คงไม่สามารถปรับเปลี่ยนตนเองได้เช่นนี้
ปัจจุบันลุงขจรได้เข้าศึกษาต่อในระบบการศึกษานอกโรงเรียนและได้รับคัดเลือกจากสำนักงานการศึกษานอกโรงเรียน จังหวัดอำนาจเจริญ ให้เป็นอาจารย์พิเศษสอนนักเรียนเรื่องการจักสานใบลานซึ่งเป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน สร้างความภาคภูมิใจกับชีวิตใหม่หลังจากการลด ละ เลิกเหล้าของลุงเป็นอย่างมาก
เนื่องในวันพ่อที่จะถึงนี้ ถือเป็นโอกาสดีที่คุณพ่อหลายๆ คนจะหันมาเลิกพฤติกรรมที่ไม่ดี และเป็นโอกาสดีเช่นกันที่ลูกจะทำความดีเพื่อพ่อ เลิกพฤติกรรมที่ทำให้ผู้เป็นพ่อเป็นแม่ต้องปวดหัว ที่สำคัญ “ความดี”ที่ทำนั้น ได้ร่วมกันถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็น “พ่อ”ของปวงชนชาวไทยทุกคน
ที่มา : มูลนิธิเพื่อนหญิง
เรียบเรียงโดย คีตฌาณ์ ลอยเลิศ
update:01-12-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่