เปิดมุมคิด ผู้ประกอบการสังคมหัวครีเอทีฟ
ขึ้นชื่อว่าผู้ประกอบการสังคม มักไม่ได้เริ่มต้นจากธุรกิจ แต่เอาปัญหาสังคมเป็นตัวตั้ง ทว่าจะทำอย่างไรให้กิจการที่มีนั้น “อยู่รอด” มีกำไรมาหล่อเลี้ยงอุดมการณ์…ถึงเวลาสลัดภาพนักเคลื่อนไหวเพื่อสังคม มาเป็น “se หัวครีเอทีฟ” ที่เลิกใช้สังคมเป็นข้ออ้างให้คนซื้อสินค้า
“การทำธุรกิจเพื่อสังคม เราต้องไม่เอาเรื่องสังคมมาเป็นข้ออ้าง หรือนำมาเป็นจุดขาย เพราะเมื่อไรที่ทำเช่นนั้น มันจะไม่ยั่งยืน เพราะที่สุดแล้ว คนยังต้องกิน ต้องใช้ ฉะนั้นสำหรับสินค้าหรือบริการ เรื่องสังคมต้องเป็นเพียงของแถมหรือเป็นจุดเสริมเท่านั้น”
จิตร์ ตัณฑเสถียร ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางกลยุทธ์และพัฒนาแบรนด์ แบ่งปันวิธีคิดของเขา ให้กับผู้ประกอบการ สังคม (social enterprise : se) ที่เข้ามาร่วมงาน ต่อยอดวิทยายุทธ์ สร้างสรรค์กิจการเพื่อสังคม ในเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เครือข่ายกิจการเพื่อสังคม ครั้งที่ 1 ใจถึงใจ..การให้ที่ยั่งยืน โดยสำนักงานสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคม (สกส.) กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และพันธมิตร
ผู้ประกอบการสังคมมากมายที่ต้องติดกับดักการตลาด สารพัดเรื่อง เจ็บแต่จริง มีให้เห็นเป็นบทเรียนอยู่บ่อยครั้ง อย่างคนไม่ยอมจ่ายเงินซื้อสินค้าเพื่อสังคม แม้เป็นสินค้าน้ำดี คุณภาพไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าสินค้าทั่วไปในตลาด แต่อาจ มีราคาแพงกว่าหน่อย ทว่ามีการแบ่งรายได้ไปช่วยเหลือผู้คนในสังคม..ทำกันขนาดนี้ก็ยังไม่ยอมจ่ายเงินให้หลายคนควักเงินทำบุญ โดยไม่ต้องมีของมาแลกเปลี่ยน ง่ายกว่าการซื้อสินค้าเพื่อสังคม
สินค้าหรือบริการเพื่อสังคม ถูกมองว่าตั้งราคาแพงกว่า สินค้าปกติไม่ได้ ต้องเป็นของถูก ของฟรี เท่านั้น
“การช่วยเหลือสังคม ไม่ได้เป็นจิตสำนึกของผู้คน เสมอไป วันนี้หน้าที่ในการสร้างแบรนด์ของ se จึงไม่ได้เบาไปกว่าสินค้าทั่วๆ ไป ที่ไม่ได้ทำเพื่อสังคม”
จิตร์ ตอกย้ำโลกความจริง ให้ se ไทยเปิดมุมมอง ของตัวเอง ก่อนยกตัวอย่าง se ต่างแดน ที่ก้าวพ้นความเป็น ผู้ประกอบการสังคมไม่เก่งธุรกิจ มาเป็นแบรนด์ที่อยู่ในใจผู้คนได้สำเร็จ ด้วยการทำสิ่งที่เต็มไปด้วย ความคิดสร้างสรรค์ มีนวัตกรรม กลายเป็นสินค้าและบริการที่ผู้คนต่างถวิลหา
เขายกตัวอย่าง แบรนด์แฟชั่นสุดเปรี้ยว ที่ชื่อ “46664” ซึ่งเป็นหมายเลขประจำตัวขณะถูกคุมขังของเนลสัน แมนเดลา อดีต ปธน.แอฟริกาใต้ รัฐบุรุษคนสำคัญของโลก
แนวคิดของชุดแฟชั่นที่ทำออกมาคือ เสื้อทุกตัวที่ขายได้ จะบริจาคเงินเข้ามูลนิธิของเนลสัน แมนเดลา เพื่อนำไปช่วยเหลือสังคม..หนึ่งในกิจการเพื่อสังคม ที่จิตร์บอกว่า “ไม่มีการอ่อนข้อด้านดีไซน์”
คอลเลคชั่นเสื้อผ้าสุดเปรี้ยวทยอยออกสู่ตลาด ตรึงสายตาเหล่าแฟชั่นนิสต้า ดีไซน์สุดเฉียบไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าแบรนด์ใด คือเหตุผลที่แฟชั่น “46664” ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากตลาด ไม่มีใครควักเงินให้กับแบรนด์นี้โดยที่รู้สึกว่าได้ของไม่ดี ไม่คุ้มค่ามาใช้ แต่ยังภาคภูมิใจที่ได้แฟชั่นเก๋ๆ มาสวมใส่ ขณะที่ได้ช่วยเหลือสังคมไปพร้อมกันด้วย
เช่นเดียวกับ เสื้อผ้าแบรนด์ fed by threads ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางกลยุทธ์และพัฒนาแบรนด์ อย่างจิตร์ ออกปากชมในความหมายของชื่อ ซึ่งหมายถึง เส้นด้ายแต่ละเส้นที่เลี้ยงปากท้องของผู้คน เชื่อมโยงไปกับคอนเซปต์ของสินค้า ที่เสื้อทุกๆ หนึ่งตัว เมื่อลูกค้าซื้อไป จะเท่า กับได้เลี้ยงอาหาร 12 มื้อ ให้กับคน ที่ไม่มีอาหารทาน ซึ่งเขามองว่าสามารถ สื่อสารกับลูกค้าได้อย่าง ง่ายและชัดเจน หรือเคสที่ถูกนำมาพูดถึงบ่อยๆ อย่าง toms รองเท้าแห่งการแบ่งปัน one for one กับแนวคิดที่ว่า เมื่อลูกค้าซื้อรองเท้า toms 1 คู่ ทาง toms จะบริจาครองเท้าให้กับเด็กที่ไม่มีรองเท้า 1 คู่
“ทอมส์ไม่ได้มีแค่รองเท้า แต่เขายังทำแว่นตาออกมา มีรองเท้ามังสะวิรัติออกมา ทอมส์ไม่เคยอ่อนข้อเรื่องดีไซน์หรือการเล่าเรื่องราว ผลิตภัณฑ์ทุกอย่างของเขาพร้อมที่ จะเป็น one for one ฉะนั้นเราเองก็สามารถเติม รูป รส กลิ่นเสียง และสัมผัส ลงไปในสิ่งที่เรามีได้”
เขาบอกว่า นี่เป็นตัวอย่างของการสร้าง se ที่มีนวัตกรรม เชิงรสนิยม บวกกับมิติเชิงสังคม ในเรื่องคุณงามและความดี จนได้มาซึ่งสินค้าที่สวย เปรี้ยว เก๋ ดีไซน์น่าจับต้อง โดยที่ ไม่ขาดตกบกพร่องไม่ว่าจะมิติเชิงนวัตกรรมหรือสังคม
จิตร์ยังบอกอีกว่า เมื่อไรที่ se ถูกตั้งคำถามว่า เอาเรื่อง ของสังคม เอาคุณงามความดีในทางสังคม มาเป็นข้ออ้าง เพื่อทำธุรกิจหรือไม่ สำหรับเขามองว่า นั่นคือการที่ยังมีโจทย์อะไรบางอย่าง ที่ไม่ได้เติมเต็มในสมการของลูกค้า ฉะนั้น ถ้าทุกอย่างสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ และเขายังรู้สึกดี มิติทางสังคมจึงเป็นของแถม และเป็นโบนัส ที่เกิดขึ้น
“เรื่องสังคมถูกนำมาเป็นข้ออ้างในภาคพาณิชย์เยอะขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเราถูกสงสัยไม่ควรทำตัวเป็นทุกข์ แต่ควรทำตัวเองให้แจ่มชัดยิ่งขึ้น อะไรที่ชัดเจนกว่าคำพูด นั่นก็คือ การกระทำ ทำแล้วก็บอกออกไป ทำให้ครบวงจร รอบด้าน ทุกมิติ แล้วสื่อสารออกไปให้ครบถ้วน”
ในส่วนของการตั้งราคา ที่ว่าจะต้องถูกหรือแพง สำหรับจิตร์เขาว่า ความรู้สึกแพงหรือไม่แพงนั้น ขึ้นกับความต้องการ เงินในกระเป๋า และความพร้อมของลูกค้า ซึ่งลูกค้าจะยอมจ่ายแพงก็ต่อเมื่อเขาเห็น “คุณค่า” ฉะนั้นสิ่งที่ se ต้องทำ ไม่ใช่การปรับราคาให้ถูกหรือแพง แต่คือ การปรับความรู้สึก มีคุณค่าให้เกิดกับลูกค้า
“เราควรปรับความรู้สึกที่มีคุณค่า ทำไมคนยอมจ่ายเงิน เพราะเขาภาคภูมิใจ จงอย่าเป็นทุกข์เป็นร้อนกับฟีดแบ็คของลูกค้า เพราะผู้ประกอบการสังคม เราเกิดมาเพื่อสังคม นั่นดีแล้ว ถ้าเขาสะท้อนว่าของเราแพง เราต้องรีบทบทวน เพราะคำว่า แพง แปลว่าไม่ คุ้ม ฉะนั้นเราต้องทำให้เขารู้สึกคุ้มให้ได้”
se ต้องเติบโตจากคำติ สำหรับจิตร์ นี่คือโอกาสที่ดีที่สุด ที่จะได้เติบโตไปจากจุดเดิม เพราะในทุกครั้งที่พบรอยรั่วของตัวเองจากคอมเมนท์เชิงลบเหล่านั้น มันย่อมเป็นโอกาสที่เราจะเติบโตต่อไปจากเดิมได้
สุรพล โอภาสเสถียร ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและการลงทุน ตอกย้ำความจำเป็นของ se ที่ต้องติดตามกระแสโลกให้ทัน และปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อไม่ให้ตกขบวนโลก เพราะโลกเปลี่ยนแปลงทุกๆ วินาที อย่างมีเด็กเกิดใหม่ถึง 2.4 คนต่อวินาที เวลาเดียวกันก็มีการละลายของน้ำแข็งขั้วโลก ที่เพิ่มขึ้น การสูญสลายของพื้นที่เพาะปลูกมากขึ้น การเกิดขึ้นของรถยนต์ เศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงเร็วมาก มีการบริโภคของคนเพิ่มขึ้น ลูกค้าในอนาคตคือคนสูงอายุ ที่เน้นประหยัดและประโยชน์ ความเร็วของเทคโนโลยีทำให้คนเกิดอาการ “รอไม่ได้” ประเมินกันว่าประชากรจะล้นโลกในปี 2050 อนาคตจะขาดแคลนอาหารและพลังงาน
เหล่านี้คือ บางส่วนของความเปลี่ยนแปลงบนโลกที่ se ต้องกลับมาทบทวน และเตรียมรับมือกับสิ่งเหล่านี้ให้ได้
“ธุรกิจเพื่อสังคมผมมองว่า ไม่ใช่มูลนิธิ ทุกคนต้องอยู่รอด เรายังต้องทำกำไรเพียงแต่ต้องไม่เอาเปรียบผู้อื่น se เป็น การทำธุรกิจรูปแบบหนึ่ง เราต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง จึงจะอยู่รอดในระบบทุนนิยม” เขาบอกไว้เช่นนั้น
ก่อนตอกย้ำความเชื่อมั่นว่า se คือโมเดลที่มาตอบโจทย์ อนาคต อาจเป็นเพียงจุดเล็กๆ ที่เริ่มต้นขึ้นแต่นี่คืออนาคตของโลกเรา
การช่วยเหลือสังคม ไม่ได้เป็นจิตสำนึกของผู้คนเสมอไป วันนี้หน้าที่ในการสร้างแบรนด์ของ se จึงไม่ได้เบาไปกว่าสินค้าทั่วๆ ไป ที่ไม่ได้ทำเพื่อสังคม
เรื่อง: จีราวัฒน์ คงแก้ว
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ