เปลี่ยน “กรุงเทพฯ” สู่ “เมืองเดินได้เมืองเดินดี”

          "การเดินเท้า" เป็นเงื่อนไขสำคัญของการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน เพราะสามารถตอบโจทย์การประหยัดพลังงาน การรักษาสภาพแวดล้อมและการแก้ปัญหาจราจร นอกจากนั้นยังสามารถส่งเสริมสุขภาวะของผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองได้พร้อมๆ กัน


เปลี่ยน


          ดังนั้นศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UddC) จึงริเริ่ม "โครงการเมืองเดินได้เมืองเดินดี" โดยความร่วมมือระหว่างสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อเป็นตัวอย่างในการพัฒนาพื้นที่นำร่อง ให้เกิดขึ้นในกรุงเทพฯและปริมณฑล


          ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการกองทุนสสส. แสดงมุมมองด้านสุขภาวะ ในวงเสวนาหัวข้อ "เมืองเดินได้ ให้ใครเดินดี?" ว่า"เมืองเดินได้" คือเมืองที่ผู้คนสามารถเข้าถึงจุดหมายต่างๆในชีวิตประจำวันได้ด้วยการเดิน ขณะที่ "เมืองเดินดี" คือเมืองที่สภาวะแวดล้อมองค์ประกอบต่างๆ ของเมืองเป็นมิตรกับการเดินซึ่ง สสส.พยายามสนับสนุนนโยบายสุขภาพด้วยการเดิน เพราะการเดินเท้าช่วยเพิ่มระดับกิจกรรมทางกาย และสร้างเสริมสุขภาพของผู้คนในชีวิตประจำวัน ที่สามารถทำได้ง่ายและไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยส่งเสริมสุขภาวะให้กับคนเมืองเท่านั้นแต่ยังช่วยให้เกิดการพัฒนาเมืองที่ยั่งยืนทั้งในเชิงสังคมเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมด้วย


   เปลี่ยน        ผู้จัดการ สสส. บอกเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันคนไทยมีวิถีชีวิตเปลี่ยนไปมากโดยพบว่าคนไทยมีพฤติกรรมเนือยนิ่งเคลื่อนไหวน้อย ประกอบกับอาหารที่รับประทานมีความหวานมันเค็มเกินไป ทำให้สุขภาพไม่ดี ขณะที่คนสมัยก่อนจะเคลื่อนไหวอยู่ตลอดดังนั้นโครงการเมืองเดินได้เมืองเดินดี จะช่วยทำให้ผู้คนได้ออกกำลังกายมากขึ้นนอกจากนี้การเดินยังช่วยลดอัตราความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนได้อีกด้วย


          ด้าน ดร.คณิสร์ แสงโชติ อาจารย์ประจำภาควิชาการธนาคารและการเงิน คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายถึงการเดินกับประโยชน์ในเชิงเศรษฐศาสตร์ว่าในระดับสังคมการเดินเท้าช่วยกระจายรายได้ มีการค้าขายมากขึ้นส่งผลให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับย่าน ตลอดจนการส่งเสริมความเท่าเทียมและความสัมพันธ์ในแนวราบของผู้คนในสังคมนอกจากนี้การพัฒนาถนนเพื่อการเดินเท้าและการใช้จักรยานยังช่วยเพิ่มมูลค่าของที่ดินอสังหาริมทรัพย์และค่าเช่าให้สูงขึ้นรวมถึงดึงดูดธุรกิจใหม่ๆเพราะจะมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น


          ขณะที่ โตมร ศุขปรีชา บรรณาธิการบริหารนิตยสาร GM และคอลัมนิสต์นิตยสารชั้นนำ สะท้อนมุมของการสร้างสังคมที่เท่าเทียมกันด้วยการเดินว่าการออกแบบถนนในกรุงเทพฯ สะท้อนแนวคิดการพัฒนาเมืองที่ให้ความสำคัญกับรถยนต์มากกว่าการเดินเท้า โดยจะเห็นได้จากสัดส่วนการให้พื้นที่ทางเท้าที่น้อยมากเมื่อเทียบกับช่องจราจรเปลี่ยน ทางเท้าที่มีลักษณะไม่ต่อเนื่องและเต็มไปด้วยสิ่งกีดขวาง ทางข้ามที่ไม่ได้คำนึงถึงการใช้งานจริงสะพานลอยที่บังคับให้คนต้องปีนบันไดขึ้นไปเพื่อให้รถยนต์สัญจรได้สะดวก อย่างไรก็ตามการสร้างวัฒนธรรมการเดินสามารถทำได้แต่เราต้องสร้างมูลเหตุจูงใจในการเดิน โดยเฉพาะบริบทของการเดินในสังคมไทยต้องสอดคล้องกันทั้งการใช้ชีวิตประจำวันและการจัดวางร้านค้าหาบเร่แผงลอยให้ดูน่าจับจ่ายใช้สอยตลอดเส้นทาง


          โตมร บอกด้วยว่า การปรับปรุงพื้นที่เมืองให้เป็นเมืองเดินได้เมืองเดินดินั้นเราไม่ควรโยนให้เป็นภาระของใครคนใดคนหนึ่ง แต่ต้องเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของคนในสังคม ให้หันมาเลือกใช้การเดินมากกว่าการใช้รถยนต์ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ชุมชนน่าอยู่ยิ่งขึ้น


          เชื่อว่าโครงการนี้น่าจะเป็นโอกาสอันดีในการพัฒนาพื้นที่ที่เอื้อต่อการเดินเท้าอย่างเป็นรูปธรรม และเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการสร้างเมืองที่เป็นมิตรต่อคนเดินให้เกิดขึ้นจริง


 


 


     ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

Shares:
QR Code :
QR Code