เปลี่ยนความเสียใจให้เป็นพลัง หยุดสร้างเหยื่อบนถนน

เรื่องโดย: อัจฉริยา คล้ายฉ่ำ Team Content www.thaihealth.or.th

ข้อมูลจาก: งานวันโลกรำลึกถึงผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน (World Day of Remembrance for Road Traffic Victims)

ภาพโดย: อัจฉริยา คล้ายฉ่ำ Team Content www.thaihealth.or.th

                   “ชีวิตทุกชีวิตมีค่า… แต่บนถนน ความประมาทเพียงเสี้ยววินาทีก็พรากมันไปได้…”

                   เพราะบนถนนทุกสาย มีชีวิต มีความฝัน และมีคนที่รอคอยอยู่ที่บ้าน… แต่เพียงเสี้ยววินาทีของความประมาทสามารถทำให้ทุกอย่างดับสิ้นลง เหลือไว้เพียงความเงียบที่เจ็บปวดเกินคำบรรยาย และในวันที่ผู้สูญเสียหลายครอบครัวเดินทางมารวมกัน ภาพถ่ายบนผนังไม่ได้ “ตั้งแสดง” หากแต่ “ยืนร้อง” ต่อเรา ร้องด้วยเสียงที่ไม่มีถ้อยคำ แต่ดังกึกก้องในหัวใจทุกคนว่า ความตายเหล่านี้ไม่ควรเกิดขึ้น…แม้แต่รายเดียว

                   เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ที่ผนังหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เต็มไปด้วยภาพถ่ายของผู้จากไป ของผู้คนหลากหลายวัย ครอบครัวผู้สูญเสีย ภาคีเครือข่ายความปลอดภัย และประชาชน เดินทางร่วมกันรำลึกถึงผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุบนถนน

                   ภาพวันนั้น สามารถทำให้หัวใจคนสั่นไหวได้…และ เสียงนั้นคือเสียงของ “ผู้สูญเสีย”

                   คือเสียงของแม่ ที่ไม่มีวันได้กอดลูกอีก

                   เสียงของพ่อ ที่ยังตั้งโต๊ะกินข้าวเผื่อใครบางคน

                   เสียงของลูก ที่โตขึ้นโดยไม่มีโอกาสเรียกคำว่า “พ่อ” หรือ “แม่”

                   เสียงของครอบครัว ที่ยังวางเสื้อผ้าของคนจากไปไว้ที่เดิม

                   ด้วยความหวังลึก ๆ ว่า…เขาอาจเดินกลับเข้าบ้านมาอีกครั้ง

                   นั่นคือ หนึ่งในกิจกรรม นิทรรศการเล่าเรื่องชีวิตที่ถูกพรากไปก่อนวัย

                   ซึ่งทุกสายตาจับจ้องภาพเหล่านั้นเต็มตื้นด้วยความอาลัย ทุกหัวใจรับรู้ว่าเหตุการณ์เหล่านี้ไม่ควรเกิดขึ้นซ้ำอีก และพลังเงียบที่เกิดขึ้น ณ ที่นั้น ได้กลายเป็นแรงผลักดันให้สังคมไทยต้องลุกขึ้นเพื่อความปลอดภัยบนถนน

                   “เปลี่ยนความเสียใจให้เป็นพลัง หยุดสร้างเหยื่อบนถนน”

                   สถิติปี 2567 ประเทศไทยสูญเสียผู้คนจากอุบัติเหตุทางถนนถึง 17,477 คน เฉลี่ย 2 ชีวิตต่อชั่วโมง และกว่า 80% เกิดจากรถจักรยานยนต์ กลุ่มวัยรุ่นอายุ 15–29 ปี เสียชีวิตสูงที่สุดถึง 4,292 ราย สะท้อนถึงความสูญเสียต่ออนาคตของประเทศอย่างแท้จริง

                   ดร. นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวเปิดงานว่า… สถิติเหล่านี้ไม่ใช่ตัวเลข แต่คือ…ครอบครัว คืออนาคตที่ถูกพรากไป การมารวมกันวันนี้ คือ…การยืนยันว่าเราไม่ต้องการเห็นการสูญเสียเกิดขึ้นอีก

                   เขาย้ำว่า สสส. และเครือข่ายตั้งเป้าลดอัตราการเสียชีวิตบนถนนเหลือ 12 คนต่อประชากร 100,000 คนภายในปี 2570 ตามแผนแม่บทความปลอดภัยทางถนนฉบับที่ 5

                   พลังของผู้สูญเสียปรากฏชัดในทุกคำพูด ของ นางรัชนี สุภจริยากุล ประธานเครือข่ายพลังผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน เธอสะท้อนผลสำรวจประชาชน 1,920 คนในกรุงเทพฯ–ปริมณฑล พบว่า 89.8% ทำ พ.ร.บ. 10.2% ไม่ทำ พ.ร.บ. 51.4% เคยประสบอุบัติเหตุ และ 93.5% รู้ว่ารถทุกคันต้องมี พ.ร.บ. แต่หลายคนยังไม่ทำเพราะไม่มีเอกสารรถ ต่อทะเบียนยาก มองว่าเสียเงินเพิ่ม หรือคิดว่า “ระวังเองก็พอ”

                   เธอกล่าวว่า “ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เราวางแผนรณรงค์ตรงจุด เพื่อไม่ให้ใครต้องสูญเสียแบบที่พวกเราเคยเจออีก”

                   ในส่วนของปัจจัยเสี่ยง นายธัชวุฒิ จาดบันดิสถ์ นักวิจัยจากศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) นำเสนอข้อมูลอุบัติเหตุปี 2568 ที่มีผู้เสียชีวิตสะสมกว่า 12,788 ราย และบาดเจ็บเกือบ 1 ล้านราย โดยระบุ 3 ปัจจัยเสี่ยงหลักที่ต้องแก้ไขเร่งด่วน คือ เมาแล้วขับ ขับรถเร็ว และไม่สวมหมวกนิรภัย

                   พร้อมข้อเสนอปิดช่องโหว่สำคัญ 4 เรื่อง ได้แก่ กฎหมายที่ยังมีปัญหา การกำกับดูแลไม่ต่อเนื่อง สภาพถนนไม่ปลอดภัย และพฤติกรรมเสี่ยงของผู้ใช้ถนน

                   นายธัชวุฒิตอกย้ำว่า “เรารู้ปัญหาแล้ว ต้องสร้างเจ้าภาพร่วม ทั้งประชาชน รัฐ และท้องถิ่นเพื่อให้ตัวเลขเจ็บตายไม่เพิ่มขึ้นอีก”

                   หนึ่งในช่วงที่สะเทือนใจที่สุด คือเรื่องราวของ นายอนุชาติ แก้วโสด ผู้สูญเสียมารดาจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2568 แม่ของเขาเพียงออกไปซื้อที่ตรวจไข้ แต่ถูกรถที่ไม่มี พ.ร.บ. ชนอย่างรุนแรง เขาต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายและงานศพทั้งหมด

                   เขาเล่าด้วยน้ำตาที่คลอเอ่อว่า “มันเกิดขึ้นเร็วมาก ผมไม่ทันตั้งตัว อยากฝากทุกคนขับรถให้ระวัง ๆ และอย่าลืมต่อ พ.ร.บ. เถอะครับ เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้น อย่างน้อยก็ยังมีเงินช่วยเหลือพ่อแม่บ้าง”

                   ข้อมูลจากภาคธุรกิจโดย นางสาวศิริพร รัตนทัศนีย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด ระบุว่า ปี 2568 ประเทศไทยมีรถจักรยานยนต์ 23 ล้านคัน แต่ 30–40% ของรถเหล่านี้ไม่มี พ.ร.บ.

                   เธอย้ำว่า พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยสูงสุดถึง 500,000 บาท จ่ายเพียงปีละ 323 บาทสำหรับมอเตอร์ไซค์

                   “อย่าเสียดายเงิน 323 บาท ดีกว่าต้องไปซื้อเหล้า บุหรี่ด้วยซ้ำ เพราะหากไม่ทำ พ.ร.บ. เราไม่ได้เดือดร้อนแค่ตัวเองแต่จะทำให้คนอื่นเดือดร้อนด้วย”

                   บทเรียนสำคัญจากวันเหยื่อโลกชี้ให้เห็นว่า “ความสูญเสีย” ของครอบครัวหลายร้อยหลายพันครอบครัว ได้กลายเป็นแรงผลักดันให้สังคมไทยต้องไม่เมินเฉยต่ออุบัติเหตุทางถนนอีกต่อไป

                   กิจกรรมนี้จึงไม่ใช่เพียงการรำลึก แต่เป็นเวทีประกาศเจตนารมณ์ร่วมของสังคมว่า ถึงเวลาแล้วที่เราจะปกป้องกันและกันด้วยกฎหมาย ความรับผิดชอบ ด้วยวินัย  ไม่ขับรถโดยประมาท จะสร้างถนนที่ปลอดภัยกว่านี้  และเลือกปกป้องกันและกัน ด้วยการไม่ปล่อยให้ใครในครอบครัวหนึ่งครอบครัวใดต้องร้องไห้จากการเป็นเหยื่อบนถนนอีกแล้ว”

                   สสส. และภาคีเครือข่ายจะเดินหน้าต่อ “เปลี่ยนความเสียใจให้เป็นพลัง” เพื่อย้ำเตือนคุณค่าของชีวิต และเป็นบทพิสูจน์ว่า ความเจ็บปวดสามารถแปรเป็นพลังให้เราลงมือเพื่อลดการสูญเสียใหม่ ๆ ที่ไม่ควรเกิดขึ้นอีก

                   เพราะทุกคนบนถนน…มีคนที่รักรออยู่ที่บ้าน และไม่มีใครควรตกเป็น “เหยื่อบนถนน” อีก

Shares:
QR Code :
QR Code