เตือน ‘โรคธาลัสซีเมีย’ ควรหลีกเลี่ยงธาตุเหล็ก

/data/content/24292/cms/e_fgimnprwxy16.jpg

          องค์การเภสัชกรรม แนะผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย ควรหลีกเลี่ยงส่วนประกอบธาตุเหล็ก ในอาหาร ผัก ขนม ยา วิตามิน อาหารเสริม  ที่สำคัญห้ามกินยาบำรุงเลือดที่มีธาตุเหล็ก ทำให้เกิดการดูดซึมและสะสมของ ธาตุเหล็กในร่างกาย มีโอกาสเกิดพิษ และเกิดโรคแทรกซ้อนได้

          ภญ.นิภาพร ชาตะวิริยะพันธ์ รองผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม เปิดเผยว่า โรคธาลัสซีเมียสามารถถ่ายทอดผ่านทางพันธุกรรมจากพ่อแม่ไปยังลูก   ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีความผิดปกติของเม็ดเลือดแดง ซึ่งมีการแตกตัวเร็วกว่าปกติทำให้เกิดอาการซีด ลักษณะเฉพาะผู้เป็นโรคธาลัสซีเมียได้แก่ตัวเหลือง  ซีด จมูกบี้ โหนกแก้มสูง ท้องบวม ตัวไม่โต  การรักษาโดยการให้เลือด เป็นการนำเลือด จากผู้บริจาคถ่ายให้ผู้ป่วยเพื่อรักษาอาการโลหิตจาง ซึ่งการให้เลือดเป็นประจำนั้น ทำให้ธาตุเหล็กสะสมมากเกินไป จำเป็นต้องได้รับยาขับธาตุเหล็กออกจากร่างกายควบคู่เป็นประจำ สำหรับการรับประทานยาขับธาตุเหล็ก จะคำนวณจากน้ำหนักร่างกายของผู้ป่วย และรับประทานยา 3 เวลา  ทั้งนี้ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์  ที่สำคัญไม่ควรซื้อวิตามิน แร่ธาตุหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมารับประทานเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์เพราะอาจมีส่วนประกอบของธาตุเหล็ก

           การดูแลสุขภาพ ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียอาหารที่เหมาะสม ควรเป็นประเภทให้โปรตีนสูง ไข่ นม ผักใบเขียว  ระวัง อย่ารับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กมากเกินไป ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนประกอบของเหล็ก เช่น ตับสัตว์ เลือดผักบางชนิดอย่าง ผักขี้เหล็ก ผักคะน้า รวมไปถึงช็อกโกแลตที่สำคัญห้ามกินยาบำรุงเลือดที่มีธาตุเหล็ก ทำให้เกิดการดูดซึมและสะสมของธาตุเหล็กในร่างกายอย่างมากมาย   อาจเกิดผลแทรกซ้อนต่อการทำงานระบบหัวใจ (หัวใจล้มเหลว )โรคตับ (ตับแข็ง) นิ่วถุงน้ำดี เป็นต้น ออกกำลังกายเท่าที่จะทำได้ไม่เหนื่อยเกินไป เนื่องจากมีกระดูกเปราะหักง่าย

            ภญ.นิภาพร กล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อมูลกระทรวงสาธารณสุข ประเทศไทยพบเด็กเกิดใหม่เป็นโรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง ปีละกว่า 4,000 ราย ประชาชนมียีนโรคนี้แฝงในตัวกว่า  22  ล้านคน  ซึ่งตลอดช่วงอายุขัยของผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย 1 คน จะมีค่ารักษาพยาบาลประมาณกว่า 6ล้านบาท ทั้งนี้การรักษาด้วยยาขับธาตุเหล็ก deferiprone (GPO-L-ONE) ขององค์การเภสัชกรรมได้บรรจุยาดังกล่าวไว้ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

 

 

          ที่มา : กองประชาสัมพันธ์องค์การเภสัชกรรม

          ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

 

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code