เตือน! ยานอนหลับชนิดใหม่ อันตรายอาจถึงเสียชีวิต
สธ. กำชับหน่วยงานในสังกัด เฝ้าระวังยานอนหลับชนิดใหม่ หลังพบแพร่ระบาดทางภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งจากการตรวจวิเคราะห์ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบมีสารฟีนาซีแพมในยานอนหลับดังกล่าว โดยออกฤทธิ์ได้นานกว่า 60 ชั่วโมง ทำให้เกิดอาการง่วงซึม มึนงง สูญเสียการทรงตัวและความทรงจำ และอาจทำให้เสียชีวิตได้หากใช้ร่วมกับแอลกอฮอล์หรือสารที่มีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง หรือยานอนหลับอื่น
น.พ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายด้านการแก้ปัญหายาเสพติด โดยเน้นการป้องกันให้เป็นภูมิคุ้มกันยาเสพติด เพิ่มการเผยแพร่ผลวิจัยพิษภัยของยาเสพติด และด้านการบำบัดรักษาผู้ติดยาที่มีประสิทธิภาพ การหารูปแบบการรับบริการ การรักษาแบบใหม่ ๆ เพื่อช่วยบำบัดผู้เสพยาเสพติดได้ รวมทั้งการเฝ้าระวังการนำยาเสพติดและวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทชนิดต่าง ๆ มาใช้ผิดประเภท จึงได้ให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข โดยเฉพาะกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของยาเสพติดชนิดใหม่ เพื่อสนับสนุนรัฐบาลในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้รายงานการพบการลักลอบนำเข้ายานอนหลับชนิดใหม่ทางพื้นที่ภาคใต้ โดยสถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ได้ส่งของกลางจำนวน 2,940 เม็ด มาให้ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลา ทำการตรวจวิเคราะห์โดยยาดังกล่าว ด้านหนึ่งมีสัญลักษณ์ และตัวเลข “028” อีกด้านมีตัวเลข “5” บรรจุในแผงพลาสติกใสสีแดง-อะลูมิเนียม บนแผงมีข้อความตัวอักษร “erimin 5” และจากการตรวจพิสูจน์ทางห้องปฏิบัติการสำนักยาและวัตถุเสพติด กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบ ฟีนาซีแพม (phenazepam หรือ fenazepam) ซึ่งตัวยาดังกล่าวเป็นยานอนหลับในกลุ่มเบนโซไดอะซีปีนส์ (benzodiazepines) และมีฤทธิ์แรงกว่า ไดอาซีแพม (diazepam) ถึง 10 เท่า ซึ่งสารฟีนาซีแพมได้ถูกสังเคราะห์ขึ้นครั้งแรกในประเทศรัสเซีย เมื่อปี พ.ศ.2517 และนำไปใช้ในทางการแพทย์ในประเทศรัสเซียและบางประเทศในยุโรปตะวันออก รักษาโรคระบบประสาท และโรคลมชัก โดยใช้ประมาณ 1- 1.5 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ไม่เกิน 10 มิลลิกรัมต่อวัน สารฟีนาซีแพมออกฤทธิ์ได้ยาวนานกว่า 60 ชั่วโมง
ผู้ที่ใช้ยาดังกล่าวจะมีอาการง่วงซึม มึนงง สับสน สูญเสียการทรงตัว และสูญเสียความทรงจำ หากหยุดยาทันทีหลังได้รับยาขนาดสูงหรือเป็นระยะเวลานานอาจเกิดอาการถอนยา และถ้าใช้ร่วมกับแอลกอฮอล์หรือสารที่มีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง เช่น ยาแก้ปวดกลุ่มโอปิเอตส์ หรือยานอนหลับอื่น ๆ อาจทำให้เสียชีวิตได้
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาพบการนำฟีนาซีแพมไปใช้ในทางที่ผิด โดยกลุ่มผู้เสพนิยมเรียกยานี้ว่า phenny, p, bonsai, bonsai supersleep และ 7 bromo-5 ส่วนการเสพมีหลายวิธี ได้แก่ การกิน การอมใต้ลิ้น การสูด และการฉีดเข้าเส้น นอกจากนี้ในสหรัฐอเมริกามีรายงานพบผู้เสพยาชนิดนี้เสียชีวิตจากการได้รับยาเกินขนาด ซึ่งจากการตรวจพิสูจน์ตัวอย่างของกลาง erimin 5 ทางห้องปฏิบัติการของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ครั้งนี้ไม่พบ ไนเมตาซีแพม แต่ตรวจพบฟีนาซีแพม จึงสันนิษฐานว่าอาจมีการนำฟีนาซีแพมมาผลิตเป็นยา erimin 5 ทดแทน ไนเมตาซีแพม เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมาย เนื่องจากฟีนาซีแพมยังไม่ได้จัดเป็นสารควบคุมในประเทศไทย รวมทั้งในอนุสัญญาสหประชาชาติ สหรัฐอเมริกา และอีกหลายประเทศในทวีปยุโรป ดังนั้นกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จะดำเนินการเฝ้าระวังและแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการกำหนดมาตรการทางกฎหมายเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของสารนี้ต่อไป
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา รายงานข้อมูลระบุว่า erimin 5 เป็นยาที่ผลิตโดยบริษัท sumimoto pharmaceuticals ในประเทศญี่ปุ่น ประกอบด้วยตัวยาสำคัญชื่อ ไนเมตาซีแพม (nimetazepam) ขนาดยา 5 มก. เป็นยานอนหลับในกลุ่มเบนโซไดอะซีปีนส์ มีการอนุญาตให้ใช้ภายใต้การควบคุมของแพทย์ในประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกง และออสเตรเลีย โดยเป็นสารควบคุม สำหรับประเทศไทยตัวยาดังกล่าวจัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ตามพระราชบัญญัติวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 แต่ยานี้ไม่มีการอนุมัติทะเบียนตำรับในประเทศไทย ซึ่งยาที่ถูกจับได้จึงเป็นยาที่ลักลอบนำเข้ามาจากประเทศอื่นทั้งสิ้น โดยพบว่ามีการนำไปใช้ในทางที่ผิดในบริเวณภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งนิยมเรียกยานี้ในชื่อ five-five หรือ happy 5
ดังนั้นยาดังกล่าวที่ตรวจพบสารสำคัญไม่ตรงตามที่ระบุไว้ จึงเข้าลักษณะของวัตถุออกฤทธิ์ปลอม ซึ่งผู้ขายฯ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1 – 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 – 200,000 บาท ส่วนผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าฯมีโทษจำคุกตั้งแต่ 5 – 15 ปี และปรับ ตั้งแต่ 100,000 – 300,000 บาท พร้อมนี้ อย.ได้เตรียมหามาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาดยาเสพติดชนิดต่าง ๆ ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
ผู้บริโภคที่จำเป็นต้องใช้วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยาว่า ไม่ควรหาซื้อวัตถุออกฤทธิ์มาใช้เอง การใช้วัตถุออกฤทธิ์ทุกประเภทต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยและสั่งจ่ายจากแพทย์ กรณีที่จำเป็นต้องซื้อวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 3 หรือประเภท 4 เช่น diazepam, lorazepam, clorazepate จากร้านขายยาต้องซื้อจากร้านที่ได้รับใบอนุญาตขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 3 หรือประเภท 4 ซึ่งจะมีป้ายแสดงอย่างชัดเจนว่าเป็น “สถานที่ขายวัตถุออกฤทธิ์” พร้อมทั้งมีใบสั่งจ่ายวัตถุออกฤทธิ์ฯ จากแพทย์ โดยมีเภสัชกรเป็นผู้ส่งมอบวัตถุออกฤทธิ์ดังกล่าวตามคำสั่งของแพทย์ พร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้วัตถุออกฤทธิ์ที่ปลอดภัยตามหลักวิชาการตามสมควร
ที่มา : กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์