เตือนสตรีทฟู้ด-อาหารจานเดียวโซเดียมสูง
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
แฟ้มภาพ
เตือนกินสตรีทฟู้ดกับข้าวถุง-อาหารกล่อง เสี่ยงรับโซเดียมมากเกินไป ชี้คนไทยยังกินเค็มเกิน WHO กำหนดเร่งขับเคลื่อนให้ผู้ประกอบการอาหารปรับสูตรให้มีความเค็มลดลง ชู 6 งานวิจัยช่วยลดบริโภคเค็ม ผลิตอาหารสำเร็จรูป ไส้กรอก น้ำปลาร้า น้ำจิ้มสุกี้ พริกแกงสูตรเกลือต่ำ หวังลดผู้ป่วยโรคไต
เมื่อวันที่ 1 ส.ค. ที่ศูนย์การเรียนรู้สุขภาวะ สสส.จัดแถลงข่าวความสำเร็จในการลดบริโภคเค็มและการขับเคลื่อนนโยบายลดเกลือและโซเดียมแห่งชาติ ประจำปี 2561 โดยมี ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สำนักกองทุนสนับ สนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พร้อมด้วย ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชู เวสศิริ ประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม รศ.นพ.เกรียงศักดิ์ วารีแสงทิพย์ นายกสมาคมโรคไตแห่งประ เทศไทย ร่วมให้ข้อมูล
ดร.นพ.ไพโรจน์กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีการบริโภคเกลือมากขึ้น ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดไว้บริโภคได้ไม่เกิน 5 กรัม หรือ 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน แต่เมื่อ 8 ปีที่แล้ว คนไทยบริโภคเกลือมากกว่าที่กำหนด 2 เท่า หรือ 4,350 มิลลิกรัมต่อวัน จากการเดินหน้าลดบริโภคเค็ม พบว่า ขณะนี้การบริโภคเค็มของคนไทยลดลงเหลือประมาณ 3,500 มิลลิกรัมต่อวัน ถือว่าแนวโน้มดีขึ้น ซึ่ง WHO กำหนดว่า ภายในปี 2568 จะต้องลดให้ได้ประมาณ 2,000-3,000 มิลลิกรัมต่อวัน ดังนั้นไทยต้องลดให้ได้ปีละประมาณ 100 มิลลิกรัม ซึ่งความรับรู้และการตื่นตัวของประ ชาชนเป็นสิ่งสำคัญช่วยให้ลดการบริโภคเค็มได้
ดร.ไพโรจน์กล่าวต่อว่า สสส.ร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อให้คนไทย มีสุขภาพดีอย่างต่อเนื่อง ด้วยแนว ทางการปรับลดปริมาณโซเดียมในอาหารหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ อาทิ การใช้สารทดแทนเกลือ เช่น เกลือโพแทสเซียมคลอไรด์ แต่มีข้อจำกัด ทำให้เกิดรสเฝื่อนในอาหาร หรือการใช้ในผู้ป่วยที่ต้องจำกัดปริมาณโพแทสเซียม เช่น ปลาร้า สามารถลดปริมาณโซเดียมลงได้ร้อยละ 50 ดังนั้นการหาแนวทางปรับลดโซเดียมในอาหารโดยไม่ส่งผลกระทบต่อ รสชาติและการยอมรับของผู้บริโภคจึงเป็นเป้าหมายสำคัญ จากผลการ วิจัยปริมาณโซเดียมและโซเดียมคลอไรด์ในอาหารสตรีทฟู้ด ของ ดร.เนตรนภิส วัฒนสุชาติ นักวิจัย เชี่ยวชาญ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พบว่า กับข้าวและอาหารจานเดียวส่วนใหญ่มีโซเดียมเกินกว่า 1,500 มิลลิกรัมต่อถุงหรือกล่อง ดังนั้นประ ชาชนควรเตรียมอาหารด้วยตนเองในบางมื้อเพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการรับโซเดียมมากเกินไป
ผศ.นพ.สุรศักดิ์กล่าวว่า ในปี 2560 มีการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์นโยบายลดเกลือและโซเดียมแห่ง ชาติ โดยมีความร่วมมือกับสำนัก งานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และสถาบันโภชนาการ มหา วิทยาลัยมหิดล ในการขับเคลื่อนให้ผู้ประกอบการอาหารปรับสูตรให้มีความเค็มลดลง โดยการปรับฉลากโภชนาการเพื่อลดโซเดียม ปัจจุบันมีแล้ว 68 บริษัท รวม 250 ผลิตภัณฑ์ แบ่งเป็น เครื่องดื่ม 193 ผลิตภัณฑ์ อาหารกึ่งสำเร็จรูป 10 ผลิตภัณฑ์ ขนมขบเคี้ยว 5 ผลิต ภัณฑ์ ไอศกรีม 8 ผลิตภัณฑ์ เครื่องปรุงรส 7 ผลิตภัณฑ์ และนม 27 ผลิตภัณฑ์ และมีแนวโน้มที่จะเข้ามา ร่วมมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงสนับสนุนให้ผู้ประกอบการติดฉลาก "ทางเลือก เพื่อสุขภาพ" มีผลิตภัณฑ์ผ่านการรับรองแล้ว 633 ผลิตภัณฑ์ เป็นอาหารมื้อหลัก 10 ผลิตภัณฑ์ เครื่องปรุงรส 12 ผลิตภัณฑ์ อาหารกึ่งสำเร็จรูป 22 ผลิตภัณฑ์ ขนมขบเคี้ยว 30 ผลิตภัณฑ์ เครื่องดื่ม 458 ผลิตภัณฑ์ นม 81 ผลิตภัณฑ์ และไอศกรีม 20 ผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ยังมีการให้ความรู้เรื่องการลดเค็มต่อประชาชนผ่านทางสื่อต่างๆ ซึ่งจากการประเมินพบว่า สื่อที่เป็นแผ่นพับหรือความรู้ทางวิชาการไม่ ค่อยได้ผลในการปรับเปลี่ยนพฤติ กรรมเท่าไรนัก ปี 2561 จึงปรับการให้ความรู้ โดยใช้สื่อภาพยนตร์สั้น เรื่อง "The Ingredients : มื้อพิ(ษ)เศษ" นำแสดงโดย คุณสินจัย เปล่งพานิช ความยาว 8 นาที เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนตระหนักเรื่องการบริโภคเค็ม
ผศ.นพ.สุรศักดิ์กล่าวว่า นอกจากนี้เครือข่ายยังเดินหน้างานวิจัยเพื่อช่วยลดการบริโภคเค็ม โดยปี 2561 มีงานวิจัยที่เป็นประโยชน์ 6 เรื่อง คือ 1.โครงการวิจัยการผลิต เครื่องตรวจสอบความเค็มในตัวอย่างอาหารและปัสสาวะเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพของประชาชน ซึ่งใช้ได้ทั้งประชาชนในการตรวจสอบ ค่าความเค็มของอาหาร และบุคลา กรทางการแพทย์ในการวิเคราะห์ปริมาณโซเดียมในห้องปฏิบัติการ 2.โครงการวิจัย Food Safety Forum : ลดเกลือโซเดียมในผลิต ภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป ซึ่งสามารถดึงผู้ประกอบการปรับสูตรผลิตภัณฑ์ อาหาร เช่น ไส้กรอก น้ำปลาร้า น้ำจิ้มสุกี้ และพริกแกงสูตรเกลือต่ำ รวมแล้ว 8 ผลิตภัณฑ์
3.โครงการวิจัยต้นแบบผลิต ภัณฑ์เกลือลดโซเดียม : การใช้ประ โยชน์และการถ่ายทอดเทคโนโลยีเชิงพาณิชย์ ซึ่งพบว่าการใช้เกลือที่มีอนุภาคขนาดเล็กลงจะช่วยให้รู้สึก เค็มได้มากขึ้นกว่าเกลือขนาดใหญ่จึงสามารถช่วยลดการใช้เกลือลงได้ แต่ได้ความเค็มเท่าเดิม 4.โครง การวิจัยการศึกษาปริมาณโซเดียม และโซเดียมคลอไรด์ในอาหารบาทวิถี (Street Foods) ซึ่งพบว่าอาหาร สตรีทฟู้ดมีปริมาณโซเดียมสูงมาก ทั้งประเภทกับข้าว อาหารจานเดียว และอาหารว่างหรือขนม 5.โครงการ วิจัยการพัฒนาคุณภาพปลาร้าและผลิตภัณฑ์ปลาร้า ทางเลือกตามภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่สามารถพัฒนาปลาร้าที่มีโซเดียมลดลงได้ร้อยละ 50 และ 6.โครงการวิจัยการทดสอบ ความแม่นยำของเครื่องตรวจปริมาณ เกลือในตัวอย่างอาหารและปัสสาวะเพื่อประเมินการบริโภคเกลือในคน และการประยุกต์ใช้เพื่อช่วยลดการบริโภคเกลือในประชากร ซึ่งพบว่ามีความแม่นยำพอประมาณ แต่ยังไม่เสถียร จึงต้องพัฒนาให้เสถียรมากขึ้นเพื่อนำไปใช้ในการประเมินโซเดียมในอาหารต่อไป
รศ.นพ.เกรียงศักดิ์กล่าวว่า ปัจจุบันโรคไตเป็นปัญหาสำคัญระดับโลก ซึ่งโรคไตแบ่งออกเป็น 5 ระยะ โดยพบว่าคนไทยป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรังประมาณ 17% หรือ 11 ล้านคน ซึ่งต้องได้รับการดูแลพิเศษทั้งการล้างไต และการปลูกถ่ายไต โดยปัจจุบันมีคนต้องล้างไตประมาณ 1 แสนคน ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 2.5 แสนบาทต่อคนต่อปี แต่การล้างไตอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์การรักษาของทั้ง 3 กองทุนสุขภาพ โดยปี 2560 สปสช.เสียค่าบำบัดทดแทนไตประมาณ 3 พันล้านบาท โดยคาดว่าภายใน 5-10 ปีข้างหน้า จะเสียค่าใช้จ่ายในเรื่องนี้เป็น 1.7 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม แม้การล้างไตจะอยู่ในสิทธิประโยชน์การรักษา แต่ไม่อยากให้คิดว่ามีการรักษารองรับ แต่ทำอย่างไรถึงจะป้องกันไม่ให้เกิดโรคไตวายเรื้อรังเพิ่มมากขึ้น ซึ่งต้องไปลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่างๆ ที่เป็นสาเหตุของโรคไต เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เป็นต้น ซึ่งการลดการบริโภคเค็มลงจะช่วยลดจำนวนผู้ป่วยลงได้