เด็กไม่ “ผิด” ผู้ใหญ่ต้อง “คิด” แก้

คลิปเด็กไทยสุดฉาว กับพฤติกรรมไม่สมวัย ทำผิดซ้ำซาก กระตุกต่อม ขุ่นเคือง พุ่งปรี๊ดให้กับผู้ใหญ่ใจอนุรักษ์ คงต้องจัดการอย่างแข็งขัน ด้วยวิธีทะนุถนอมอ่อนโยน !!


เด็กไม่ "ผิด" ผู้ใหญ่ต้อง "คิด" แก้


ข่าวคราวคลิปฉาวในโรงภาพยนตร์ นักเรียนชายดูดนมของนักเรียนหญิงชุดเนตรนารี คลิปตบกันแย่งเด็กนักเรียนผู้ชาย ก้มกราบ เหยียบศีรษะ หรือแม้กระทั่งสถานการณ์จริงนอกรั้วโรงเรียน นักเรียนช่างกลตีกัน และอีกมากมายไม่เว้นแต่ละวัน ทำให้ผู้ใหญ่ต้องกุมขมับ จับยาพาราเซตามอนกินอยู่บ่อยๆ


บ้างก็ว่าเกิดจากความบกพร่องในการเลี้ยงดูเด็กของผู้ปกครอง ผู้ชอบเอา เวลา มาอ้าง บางคนก็โทษกฎหมายไม่รัดกุม ไม่ลงโทษให้เข็ดหลาบ หลายคนว่า มันก็รวมๆ กันทุกสาเหตุนั่นแหละ


แต่สิ่งที่สำคัญกว่าการ ฟื้นฝอยหาตะเข็บ คือ เราควรแก้ปัญหานี้อย่างเข้าอกเข้าใจและยั่งยืนได้อย่างไร


ขุดคุ้ย ต้นตอ


ธวัชชัย ไทยเขียว อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กล่าวในการประชุมสภากระบวนการยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชนระดับภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งจัดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการพัฒนากระบวนการยุติธรรมเด็กและเยาวชนในระดับสากล ว่า ไม่เพียงแต่ประเทศไทยเท่านั้นที่มีปัญหาเรื่องเด็กและเยาวชน แต่ทุกประเทศก็เริ่มวิตกกังวล เป็นห่วงเด็กที่ก้าวพลาด จึงมีความจำเป็นต้องประเมิน สาเหตุของการกระทำผิดอย่างแม่นยำ เพื่อเป็นปัจจัยในการช่วยเหลือเด็ก สงเคราะห์ และฟื้นฟู ตลอดจนป้องกันไม่ให้เกิดความผิดซ้ำอีก


การแก้ปัญหาต้องลงลึกไปที่ต้นตอของปัญหาอย่างเข้าใจและเป็นจริง ไม่ใช่แค่การใช้ดุลยพินิจของคนเท่านั้น แต่ต้องใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ นั่นคือแบบประเมิน (Form) ที่มีทั้งขอบเขตสำรวจพฤติกรรมที่แสดงออกและจิตวิทยา สิ่งที่สั่งการจากภายใน เพื่อให้เราสามารถประเมินได้ว่าจะนำทางแก้ไขใดบ้าง มาใช้กับเด็กคนนี้ ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า กรณีเด็ก 2 คนร่วมกันปล้นทรัพย์ เด็กคนแรกอาจมีสาเหตุที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับอีกคน คนแรกอาจทำไปเพื่อประชดประชันสังคมที่ทำเลวร้ายกับเขา แต่อีกคนต้องการเงินไปซื้อสิ่งของฟุ่มเฟือย เราก็ต้องหากระบวนการแก้ที่ต้นเหตุต่างกันไป


เครื่องมือจะช่วยให้การประเมินแม่นยำขึ้น เพราะไม่มีทางที่ทุกคนจะประเมินเองได้ รวมทั้งยังช่วยหลีกเลี่ยงวิธีการที่ไม่จำเป็น หรือไม่ควรจัดการให้หมดสิ้นไปได้ จึงลดภาระการใช้จ่ายของรัฐไปได้มากโขเลยทีเดียว


นอกจากนั้น ยังต้องให้ความสำคัญกับเรื่องอายุของเด็กที่จะรับโทษ ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ให้ความเห็นว่า เด็กควรรับโทษเมื่อมีอายุ 12 ปีขึ้นไป แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของแต่ละประเทศด้วย บางแห่งอาจให้เพิ่มอายุกว่าได้ แต่ต้องไม่น้อยไปกว่านี้ อีกทั้งการลงโทษเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปียังต้องมีกระบวนการสร้างสรรค์มากกว่าลงทัณฑ์เพียงอย่างเดียว และตีความกฎหมายให้เป็นคุณมากกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อไม่ให้ขัดต่อหลักสิทธิคุ้มครองเด็กและเยาวชน


ตัวอย่าง ทำเป็นแบบอย่าง


สำหรับไอเดียที่น่าสนใจ และสามารถนำมาปรับใช้กับเด็กไทยได้ ไม่ใช่ยกมาทั้งกระบิ ก็คือ กรณีศึกษาของญี่ปุ่น เขาคิดโครงการบ้านทดแทน (Family Parent) ขึ้นมา โดยสมมติบ้านหลังใหม่ให้กับเด็กๆ ที่กระทำผิด แต่ความจริงแล้วคือ การนำเด็กไปอยู่กับครอบครัวของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเป็นสามีภรรยาและลูก เพื่อให้เด็กเรียนรู้อย่างถูกแบบแผน ให้เขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง เป็นหนึ่งสมาชิกของครอบครัว เรียนรู้กับกรอบการใช้ชีวิตอย่างที่ควรจะเป็น ไม่ใช่ถูกถอดทิ้ง


ส่วนวิธีการที่ไทยน่าจะนำมาใช้ได้ทันทีนั้น ธวัชชัย บอกว่า ควรแยกแยะการดูแลให้มากขึ้น เพราะเด็กกลุ่มเสี่ยงที่จะกลับไปทำความผิดได้อีกเริ่มมีเยอะมากขึ้น แถมเรายังขาดประสบการณ์ในการดูแลเด็กกลุ่มใหม่ๆ กลุ่มนี้ ดังนั้น เราอาจสร้าง บ้านพักเด็กกลุ่มเสี่ยง คือเด็กที่อาจกลับไปกระทำผิดได้อีก หรือปฏิเสธที่จะอยู่กับครอบครัว ให้เขาสามารถอยู่ที่ที่ได้จนเรียนจบ ให้เขามีที่อยู่จนสามารถเอาตัวรอดได้ด้วยตัวเอง หรือมี บ้านพักชั่วคราวบ้านทดแทน ให้กับเด็กที่ก้าวพลาด คือเด็กที่ไม่มีเจตนากระทำผิด และไม่ได้มีความผิดร้ายแรง ก็ไม่ควรอยู่ในสถานพินิจ


ตามด้วยการออกแบบสถานพินิจที่เหมาะสม ซึ่งต้องใส่ใจความรู้สึกและวิถีชีวิตของเด็ก เช่นสภาพห้องต้องเป็นมิตร ปลอดโปร่ง ไม่เหมือนห้องสอบสวน อาจต้องมีความกว้าง ยาว แสง สีให้ตรงกับความเหมาะสมของเด็กๆ โดยใช้พฤติกรรมศาสตร์บวกกับจิตวิทยาเด็กแต่ละกลุ่มอย่างชัดเจน


สำหรับประเทศในฝั่งตะวันตกเอง ธวัชชัย กล่าวว่า แนวทางที่เน้นกระบวนการติดตาม เตรียมความพร้อมก่อนปล่อย และติดตามผลเมื่ออยู่นอกพื้นที่ควบคุมแล้ว ไทยก็ควรนำมาเสริมความแข็งแรง เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นเช่นกัน


เรื่องของกฎหมายก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยทิ้งไปเสีย แต่ควรมองที่หลักการนำไปใช้ปฏิบัติการ เช่น หากกฎหมายบอกให้ปฏิบัติแล้วไม่สามารถทำได้ จะต้องทำอย่างไร อย่างกรณีที่ตำรวจจับเด็กใส่กุญแจมือ หรือคุมขังร่วมกับผู้ใหญ่ ซึ่งไม่ใช่ทางปฏิบัติที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่เนื่องจากทรัพยากรที่มีอยู่นั้นจำกัด คือห้องคุมขังไม่เพียงพอ นั่นก็เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ต้องมีแผนสำรองไว้รองรับ เพื่อคุ้มกันและให้สิทธิเด็กอย่างเต็มที่ เป็นต้น


เมื่อมีแนวทางที่ชัดแจ้งขึ้นแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อมา คือ แจ้งแถลงไขให้พ่อแม่ทุกคนได้รับรู้และให้ความร่วมมือกันทั้งสังคม ช่วยกันอุ้มชูเด็กที่ประพฤติดี และป้องกันเด็กที่กระทำผิดไม่ให้กระทำผิดซ้ำอีก


อย่าชะล่าใจว่า ลูกฉันอยู่ในบ้านที่ล้อมรั้วด้วยรักอย่างดีแล้ว จะไม่ใช่เหยื่ออาชญากรรม เพราะทุกวันนี้มันมีโลกเสมือนจริง ซ้อนและซ่อนอยู่ในบ้านด้วย แค่เราไม่สนใจ


 


 


 


ที่มา:หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจโดยชฎาพร นาวัลย์


 

Shares:
QR Code :
QR Code