เดินหน้าจัดตั้ง `สมัชชาการศึกษาจังหวัด`

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ


เดินหน้าจัดตั้ง 'สมัชชาการศึกษาจังหวัด' thaihealth


เมื่อเร็วๆ นี้ ที่โรงแรมเอส ดี อเวนิวกรุงเทพฯ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา(สกศ.) จัดการประชุมระดมความคิดเห็น"การจัดตั้งเครือข่ายความร่วมมือและสมัชชาการศึกษา" เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการจัดตั้งสมัชชาการศึกษาทั่วประเทศ ภายใน 30 ก.ย.59 นี้


ดร.กมล รอดคล้าย เลขาธิการ สกศ.กล่าวว่า รัฐบาลใช้ยุทธศาสตร์ชาติในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ เพื่อหวังให้ประเทศไทยพ้นจากการเป็นประเทศที่ติดกับดักรายได้ปานกลาง ในแง่การจัดการศึกษาจึงมีความจำเป็นที่ต้องสร้างนวัตกรรมในการจัดการศึกษาในรูปแบบใหม่ เพื่อให้สอดรับกับแผนการศึกษาชาติ ซึ่งวางไว้ 15 ปี ฉะนั้นการใช้ระบบเครือข่ายในการจัดตั้งสมัชชาการศึกษาจึงควรเกิดจากฐานราก และมาจากความร่วมมือจากทุกหน่วยงาน มิใช่หน้าที่เฉพาะ ศธ. เท่านั้นสกศ. จึงมีความมุ่งหวังที่จะจัดขึ้นสภาการศึกษาจังหวัดขึ้น โดยมุ่งหวังให้เกิดการจัดตั้งที่เป็น


ระบบ ซึ่งปัจจุบันมีหลายจังหวัดที่มีกลไกการเกิดสมัชชาการศึกษาแล้ว อาทิ เครือข่ายจังหวัดปฏิรูปการเรียนรู้ สสค. และ สสส. แต่ยังมีหลายจังหวัดที่ขาดแนวทางในการจัดตั้งจึงอยากใช้เวทีระดมความคิดเห็นครั้งนี้เพื่อสร้างแนวทางเครือข่ายด้านการศึกษาและสมัชชาการศึกษาให้ครบทุกจังหวัด


"หากตั้งเครือข่ายความร่วมมือและสมัชชาการศึกษาขึ้นแล้ว เครือข่ายต้องทำหน้าที่ชี้นำทิศทางการศึกษาของจังหวัดที่สอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่ นอกเหนือจากปล่อยให้รัฐชี้นำอยู่ฝ่ายเดียว ฉะนั้นเครือข่ายภาคประชาสังคม ต้องช่วยสนับสนุนเรื่องความคิดและการอำนวยความสะดวกในพื้นที่เพื่อประโยชน์ของคนในจังหวัด ซึ่ง สกศ. อยากเห็นเครือข่ายสร้างองค์ความรู้ด้านจัดการศึกษาให้กับพื้นที่ (Knowledge Society) โดยมีการตั้งสำนักส่งเสริมเครือข่ายความร่วมมือและสมัชชาทางการศึกษา (สคร.) เพื่อขับเคลื่อนสมัชชาการศึกษาจังหวัดต่อไป โดยจะนำไปสู่การร่างแนวทางการขับเคลื่อนเครือข่ายในพื้นที่ในเดือนถัดไป และตั้งเป้าให้เกิดสมัชชาการศึกษาภายใน 30 ก.ย. นี้"


นพ.อำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ และอดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ กล่าวถึงการขับเคลื่อนสมัชชาการศึกษา ควรประกอบด้วยกลไก 5 ประการ ได้แก่ 1.การสร้างกลุ่มแกนนำเพื่อการเปลี่ยนแปลง 2.การสร้างกระบวนการสร้างความเข้าใจให้เครือช่ายและกลไกขับเคลื่อน 3.การขยายเครือข่ายภาคีแกนนำ 3 ส่วน ทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม 4.การส่งเสริมให้เกิดแนวคิดด้านเสริมพลัง และ 5.ไม่ควรเริ่มด้วยระเบียบ กฎเกณฑ์ และคู่มือ แต่ให้คน ในระบบการศึกษาเดิมนำไปลงมือปฏิบัติ


ด้าน นายทองสุข รวยสูงเนิน รองประธานคณะกรรมการการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่ จ.สุรินทร์ กล่าวว่า คนสุรินทร์ คาดหวังให้เกิดความเปลี่ยนแปลง คือจากเดิมงานที่ต่างคนก็ต่างทำ ตามภาระความรับผิดชอบของตนเองอย่างเต็มที่อยู่แล้ว นับจากนี้จะเกิดการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ระหว่างหน่วยงานแต่ละสังกัดที่นอกจากรับฟังนโยบายจากต้นสังกัดแล้ว ยังมีการฟังข้อมูลจากชุมชนรอบข้าง ดูทิศทางและนโยบายของจังหวัด และมีภาคเอกชนเข้ามาช่วยสนับสนุนด้านการศึกษาซึ่งจะทำให้คุณภาพการศึกษาดีขึ้น และลดความเหลื่อมล้ำได้


"เมื่อเกิดคณะกรรมการการศึกษาจังหวัด (กศจ.) ขึ้นแล้ว ผู้ว่าฯ สุรินทร์ ก็เห็นควรตั้งคณะกรรมการการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่ จ.สุรินทร์ ให้เป็นกลไกทำงานควบคู่กันเพื่อนำสู่การจัดแผนพัฒนาการศึกษา จ.สุรินทร์ทั้งนี้เห็นควรให้สภาการศึกษาเชื่อม งานกับสำนักงานปลัด ศธ. เพื่อให้การเกิดสมัชชาการศึกษาครั้งนี้ เชื่อมต่อกับกระบวนการขับเคลื่อน"กศจ." ด้วย"


 


          

Shares:
QR Code :
QR Code