เครื่องดื่มน้ำหวานความอร่อยเคลือบยาพิษ

ที่มา : หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย 


ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ


เครื่องดื่มน้ำหวานความอร่อยเคลือบยาพิษ thaihealth


14 พฤศจิกายนของทุกปี สหพันธ์เบาหวานนานาชาติและองค์การอนามัยโลกจึงกำหนดให้เป็น "วันเบาหวานโลก" เพื่อกระตุ้นเตือนพฤติกรรมเสี่ยงทางสุขภาพ


ข้อมูลจากสหพันธ์เบาหวานนานาชาติ พบว่า ในปี 2558 มีผู้ป่วยเบาหวานอยู่ที่ 415 ล้านคน โดยทุก 6 วินาทีจะผู้เสียชีวิตจากโรคเบาหวาน และ 1 ใน 11 คน ป่วยเป็นเบาหวานโดยไม่รู้ตัว ซึ่งคาดว่าในปี 2588 หรืออีก 30 ปีข้างหน้าจะมีผู้ป่วยเบาหวานถึง 642 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 227 ล้านคน


ขณะที่ผู้ป่วยเบาหวานในประเทศไทย จากผลสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานวิจัยเพื่อการพัฒนาหลักประกันสุขภาพไทยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข และเครือข่ายมหาวิทยาลัยในภูมิภาคต่างๆ ครั้งที่ 5 ระหว่างปี 2557-2558  ด้วยการสุ่มตรวจสุขภาพประชากรไทย 21 จังหวัด จำนวน19,468 ตัวอย่าง พบว่าปัจจุบันมีคนไทยที่ป่วยเป็นเบาหวานถึง 4 ล้านคน ที่น่าเป็นห่วงคือพบกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวานโดยไม่รู้ตัวอีกถึง 7.7 ล้านคน ซึ่งคนในกลุ่มหลังหมายถึง ร้อยละ 5-10 ต่อปี จะเป็นเบาหวานหากไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางสุขภาพ ปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคเบาหวานส่วนใหญ่ล้วนมาจาก"พฤติกรรมการบริโภคและการใช้ชีวิต" ทำให้พบแนวโน้มผู้ป่วยโรคเบาหวานตั้งแต่อายุยังน้อย


เครื่องดื่มน้ำหวานความอร่อยเคลือบยาพิษ thaihealth


ศ.พญ.ชุติมา ศิริกุลชยานนท์ โครงการเด็กไทยดูดีมีพลานามัย ภายใต้แผนอาหารเพื่อสุขภาวะ สสส. เผยว่า สาเหตุของโรคอ้วน ซึ่งเป็นที่มาของโรคไม่ติดต่อ (NCDs) อันได้แก่ เบาหวาน ความดัน มาจากพันธุกรรม ฐานะทางเศรษฐกิจสังคม สิ่งแวดล้อมซึ่งหมายถึงพฤติกรรมการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีพลังงานสูง น้ำตาลสูงvไขมันสูง บริโภคผักผลไม้น้อยและวิถีการดำเนินชีวิต จะเห็นได้ว่าปัญหาโรคอ้วนล้วนเกิดจาก"พฤติกรรม" เป็นส่วนใหญ่ ดังจะเห็นได้จากปริมาณน้ำตาลที่ควรบริโภคต่อวัน ไม่ควรเกิน 4-8 ช้อนชาต่อวัน สำหรับผู้ที่ต้องการพลังงานระหว่าง 1,600-2,400 กิโลแคลอรี่ต่อวัน แต่ในความเป็นจริงกลับพบว่า คนไทยบริโภคน้ำตาลเกินกว่าปริมาณที่ควรได้รับ 4-7 เท่าตัว โดยข้อมูลที่คำนวณจากรายงานการบริโภคน้ำตาลของคนไทย ปี 2557 พบว่า คนไทยบริโภคน้ำตาลเฉลี่ยถึง 28 ช้อนชาต่อคนต่อวัน ซึ่งแหล่งที่มาของการบริโภคน้ำตาลล้นความต้องการของร่างกายส่วนใหญ่มาจากเครื่องดื่มนานาชนิดนั่นเอง


ผลการศึกษาพฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มหวานจากผลการวิจัยบนถนน สายเศรษฐกิจจากการสำรวจปริมาณน้ำตาลของร้านขายเครื่องดื่มบริเวณมหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตพญาไท ถนนราชวิถีรอบบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และถนนสีลม โดยโครงการเด็กไทยดูดี มีพลานามัยเพื่อเปรียบเทียบปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่ม 1 แก้ว ปริมาณ 250 มล. จากตัวอย่างร้านค้า 62 ร้านค้า โดยเก็บตัวอย่างเมนูยอดนิยม1 ใน 5 อันดับ และเครื่องดื่มที่มาจากร้านที่ให้ความร่วมมือในการวิจัย รวม 270 ตัวอย่าง ผลการสำรวจพบว่าเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลมากที่สุด 5 อันดับแรกคือ1.แดงโซดา ปริมาณน้ำตาล 15.5 ช้อนชา 2. โอวัลติน 13.3 ช้อนชา 3.ชามะนาว12.6 ช้อนชา 4.ชาดำเย็น 12.5 ช้อนชา และ 5. นมเย็น 12.3 ช้อนชา ส่วนชาเย็น กาแฟเย็น ชาเขียวเย็น มีปริมาณน้ำตาลเฉลี่ย 11 ช้อนชา และโกโก้มีปริมาณน้ำตาล 10.8 ช้อนชา โดยเครื่องดื่มบริเวณรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิมีปริมาณน้ำตาลมากที่สุด รองลงมาคือวิทยาเขตพญาไท และถนนสีลม ตามลำดับ ซึ่งมาจากความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจสังคม สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และความนิยมของบุคคล


เครื่องดื่มน้ำหวานความอร่อยเคลือบยาพิษ thaihealth


ศ.พญ.ชุติมา กล่าวว่า ผลการศึกษาครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้ว่าองค์การอนามัยโลกแนะนำไม่ควรบริโภคน้ำตาลจากอาหารทุกชนิดเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน แต่จากผลการสำรวจปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มย่านการค้าและใจกลางเมืองกลับพบว่าเพียงบริโภคเครื่องดื่มหวาน1 แก้ว (250 มล.) ก็มีปริมาณน้ำตาลที่เกินความต้องการที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวันนอกจากนี้จากเดิมที่คาดว่า เครื่องดื่มประเภทขุ่นที่มีส่วนผสมของนม นมข้นหวานหรือครีมเทียมจะมีปริมาณน้ำตาลมากกว่าแต่กลับพบว่า เครื่องดื่มประเภทใสกลับมีปริมาณน้ำตาลสูงกว่า ซึ่งอาจเนื่องจากชามะนาวที่รสเปรี้ยวของมะนาว ทำให้ต้องใส่มะนาวเพิ่มความหวานมากขึ้น


ทพญ.ปิยะดา ประเสริฐสม ผู้จัดการโครงการเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานสสส. ชี้ว่า พฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มหวานบนถนนสายเศรษฐกิจสะท้อนถึงวิถีชีวิตของคนวัยทำงานและนักศึกษา ซึ่งถือเป็นแรงงานที่สำคัญของประเทศเพราะเป็นกลุ่มผลิตภาพหลักในการสร้างรายได้ของประเทศ จึงเป็นตัวชี้วัดถึงสัญญาณอันตรายโดยไม่รู้ตัว เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้มีสารอาหารน้อย มีแต่น้ำตาลและไขมันในปริมาณสูง ซึ่งเป็นรากของปัญหา NCD ทั้งเบาหวาน ความดัน หากไม่ทำความเข้าใจกับกลุ่มนักศึกษาและวัยทำงานเราจะได้คนในประเทศที่มีปัญหาสุขภาพในระยะยาว


"จากผลการศึกษาจะพบว่า โดยเฉลี่ยแล้วปริมาณเครื่องดื่มหวานเพียง1 แก้ว จะมีปริมาณน้ำตาลที่มากกว่าปริมาณที่ร่างกายควรได้รับ ซึ่งการดื่มน้ำหวานจะดูดซึมได้เร็วมากกว่าการกินอาหารหรือขนม เพราะเหมือนเป็นการกระหน่ำน้ำตาลในร่างกายทำให้ตับอ่อนทำงานอย่างหนักด้วยการผลิตอินซูลินเข้ามาจัดการเพื่อปรับระดับน้ำตาลในเลือด คนจึงเป็นเบาหวานตั้งแต่อายุยังน้อยมากขึ้น"


ทพญ.ปิยะดา ย้ำว่า การปรับพฤติกรรมการบริโภคไม่สามารถใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมได้ แผนงานอาหารเพื่อสุขภาวะ สสส.จึงได้ทำงานร่วมกับกลุ่มองค์กร โรงเรียนและสถาบันอุดมศึกษาเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งอาหารว่างสุขภาพในองค์กรภาครัฐและเครือข่ายในพื้นที่ เพื่อสร้างค่านิยมและความเคยชินในองค์กร การสนับสนุนให้มีโรงอาหารทางเลือกให้มีเครื่องดื่มชงลดความหวาน นอกจากนี้ในโรงเรียนระดับประถมศึกษาได้เพิ่มมาตรการขนมเพื่อลดภาวะอ้วน เพื่อฉายภาพให้เห็นว่าสามารถทำได้ในทางปฏิบัติซึ่งจะส่งผลต่อการปรับพฤติกรรมไปในตัว

Shares:
QR Code :
QR Code